อรรจน์ พานทอง 2016
ความ(ไม่)ว่างเปล่า
ผมออกจะเป็นปลื้มเมื่อเพื่อนคนหนึ่งมาขอให้เขียนเรื่องความประทับใจสมัยเรียนอักษร ปลื้มจนลืมคิดถึงที่มาที่ไปและ
ความเป็นได้ทั้งปวง คิดอยู่อย่างเดียวว่าทุกวันนี้ก็ท ามาหากินด้วยการเขียนรายงานภาษาอื่นส่งเป็นร้อย ๆ หน้าอยู่เป็น
ประจ า จะอะไรหนักหนากับอีแค่ขีดขุยขยุกขยิกขยับเขียนภาษาพ่อภาษาแม่แค่หนึ่งหน้าแค่นี้ ก่อนจะรู้ว่าอะไรเป็น
อะไรก็ตกปากรับค าเธอไปเรียบร้อยแล้ว กว่าจะรู้สึกตัวว่าซี้ซั้วมั่วซั่วรับปากกันไปก็เมื่อ deadline มาถึงแล้วนั่นเอง….
ผมไม่มีอะไรจะเขียน เพราะไม่เคยมีความประทับใจอะไรสมัยเรียนเลย
ตอน entrance นั้นผมสมัครไว้แต่คณะพละศึกษาล้วน ๆ แค่แปะครุกับรัฐศาสตร์จุฬาไว้สองอันดับท้าย ไม่ใช่ว่าผมจะ
เป็นนักกีฬาตัวยงอะไรกับใครเขา แต่เข้าใจว่าพละนั้นเรียนง่าย เรียนไปเล่นไป ยังไงก็จบ ผมอาจจะไม่รู้ว่าอยากจะท า
มาหากินอะไรต่อไปในอนาคต แต่ที่รู้อยู่แก่ใจแน่ ๆ ขณะนั้นคือ ตัวเองไม่มีวินัย, ไม่ชอบท างานหนักและไม่รักเรียน
หนังสือ แม่ผมมาพบโพยนี้เข้าก่อนส่งสมัครสอบเลยโดนฉีกทิ้งและแม่เขียนเองให้ใหม่เริ่มด้วยอักษรจุฬาอันดับหนึ่งและ
อะไรต่อมิอะไรซึ่งไม่ใช่ที่ผมอยากจะเรียนสักคณะมาเป็นล าดับต่อ ๆ ไป
ชีวิตผมตั้งแต่เริ่มเข้าจุฬาก็เหมือนหนังเรื่อง Groundhog Day คือไม่อยากมา, ไม่ตั้งใจจะมาที่มาก็เพราะแม่เขียนโพยสั่ง
และหาเงินส่งให้มาเรียนเป็นเกียรติตระกูลก็ว่ากันไปตามบทนั้น วัน ๆ จึงมาเรียนมั่ง ไม่มามั่ง ขี้เกียจเรียนก็ไป drop
เอา เมา ๆ มั่ว ๆ ท าอย่างนี้อยู่ทุกวันตลอดสี่ปีจนจบนับตั้งแต่วันแรกที่จบมาจนกระทั่งวันนี้ผมก็ไม่เคยกลับเข้าไป
เหยียบรั้วจุฬาอีก เพราะไม่เคยคิดว่ามีความผูกพัน แม้แต่ปริญญาผมก็ไม่ได้ไปรับ
ผมย้ายมาอยู่ที่ประเทศอังกฤษเกือบจะทันทีหลังจากที่เรียนจบ และใช้วิถีชีวิตซ ้าซากลุ่ม ๆ ดอน ๆเหมือนวงจรฝันร้าย
เรื่อง Groundhog Day เรื่อยมา เพิ่งเริ่มจะออกจากวงจรนี้ได้เมื่อสักสิบปีที่แล้วหลังจากที่ได้ศึกษาอดีตและพัฒนาตัวเอง
จากโอกาสที่มีให้ซ ้าแล้วซ ้าอีกเหมือนดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัวอยู่ทุกวี่วัน ผมเริ่มรู้จักตัวเองดีขึ้น พร้อม ๆ กับที่เข้าใจ
และซาบซึ้งในคุณค่าความเป็นมนุษย์ของบุคคลรอบข้าง เมื่อมองย้อนกลับไปจึงเข้าถึงความประทับใจเมื่อครั้งเรียน
อักษร… ความรู้สึกเช่นนี้หาได้เกิดขึ้นมาขณะเรียนไม่
ปรากฏการณ์ที่ผมประทับใจสูงสุดคือระดับของ social-emotional competencies ในตัวของแต่ละบุคคลที่ผมมีโอกาส
สัมผัสด้วยตั้งแต่คณาจารย์, นักการภารโรง, พ่อค้าแม่ขายและเพื่อน ๆ ทุกคนที่ยังมีเมตตาคบหาสมาคมกันอยู่จนถึงทุก
วันนี้ ส าหรับครูบาอาจารย์ทั้งไทยและฝรั่งนั้น แม้ผมจะเป็นคนไม่เอาถ่านแค่ไหน แต่ไม่เคยมีสักครั้งตลอดสี่ปีที่ผมจะถูก
ดุ, ถูกท าโทษหรือเลือกปฏิบัติต่อเหมือนเป็นนิสิตระดับหางแถวอาจารย์มีเมตตาอย่างไรกับเพื่อน ๆ ระดับเกียรตินิยม ก็
ให้ความปรานีกับผมเท่า ๆ กับเพื่อนระดับนั้นทั้งในชั้นเรียน, บทสนทนาตอนสวนกันบนระเบียงหรือยามปรึกษากันตัว
ต่อตัวที่โต๊ะอาจารย์ ครูช่าง- อาจารย์สุไลมาน และอาจารย์ชัตสุนี แม้ว่าจะถูกผมเบี้ยวท างานเสร็จอย่างไม่สมบูรณ์พอจะ
เปิดนิทรรศการวัฒนธรรมอิตาเลียนก็เพียงแต่สอบถามและตักติงอย่างสร้างสรรค์ไม่ได้คาดโทษโกรธเคืองหรือต่อว่าให้
เสียผู้เสียคน อาจารย์พรสมและ Señor Eduarado ภาควิชาภาษาสเปนนั้นให้ความกรุณากับผมอย่างสม ่าเสมอตลอด
มาทั้งสี่ปี ความดีเช่นนี้จึงเป็นสาเหตุของความเกรงใจ ไม่กล้าโดด, ไม่กล้า drop แม้ว่าเราจะหาห้องเรียนกันได้ยากเย็น
ในเวลาโหดแค่ไหน เช่นตั้งแต่ 8 โมงเช้าและหลัง 5 โมงเย็น ผมก็จะตั้งใจไปไม่ให้ขาด
ผมเป็นคนเมืองชล แม้จะมีที่พักอยู่ในกทม. แต่เพราะความรักบ้านรักถิ่นผมจึงไปกลับกทม-ชลบุรีทุกวัน การที่มาเรียน
แต่เช้าและเลิกเรียนเย็นนั้นจึงถือเป็น big deal อย่างยิ่ง ดังนั้นถ้าจะมาเข้าเรียน 8 โมงเช้าผมต้องตื่นแต่ตีสี่มาโบกรถ
เพื่อมาถึงจุฬาประมาณ 7 โมง ถ้าสายกว่านี้รถจะติดกันมากมายอย่างที่รู้ ๆกันอยู่
ความที่มักจะเป็นนิสิตคนแรกที่มาถึงคณะก่อนใคร ผมจึงรู้จักกับนักการหลายๆ คนอย่างสนิทสนมกันดีมาก บุคลากร
เหล่านี้ แม้ไม่ได้มีหน้าที่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับนิสิตแต่อย่างไร แต่ก็ให้ความเป็นกันเองกับผมเหมือนลูกเหมือน
หลาน ผมก็เรียกน้าแผน, ลุงชุบได้อย่างสนิทใจ วันไหนเที่ยวเพลินหลังเลิกเรียนดึกเกินกลับบ้าน น้า, ลุงก็เอ็นดูให้นอน
ตึกสี่ได้ถ้าไม่กลัวผี เพราะเห็นกันอยู่ตลอดสี่ปีว่าอีกไม่กี่ชั่วโมง ผมก็จะแหกขึ้ตามาเรียนตอนเช้าอีกเหมือนเดิม มองตารู้
ใจไม่ต้องพูดจาอธิบายกันให้ยืดยาว ความสัมพันธ์ระดับพิเศษนี้ก็แผ่ขยายมาถึงเหล่าพ่อค้าแม่ขายที่โรงอาหารทุกเจ้า
ด้วย เพราะพวกเขาจะเห็นผมเป็นคนแรกตั้งแต่ขนของมาเปิดร้านตอนเช้า ตอนเย็นเก็บร้านกลับบ้าน ก็ยังเห็นผมโต๋เต๋
อยู่ทุกวัน ผมจะเป็นลูกค้าคนแรกและคนสุดท้ายอยู่ประจ า ดังนั้นจึงออกจะเส้นใหญ่ได้กินอาหารจานโต ๆ ซื้อหนี่งแถม
หนึ่งเกินหน้าเกินตาชาวบ้านเขาเสมอ
อีกเรื่องหนึ่งที่ผมจดจ าจากอักษรมาเป็นส่วนส าคัญของชีวิตอยู่ทุกวันนี้ก็คือ courage, passion และ conviction ของ
คณาจารย์และเพื่อน ๆ หลาย ๆ คน ในขณะที่คนทั่ว ๆ ไปอาจจะมองว่าอักษรเป็นคณะคุณหนู, เป็นโรงเรียนเตรียม
ของคุณนายในอนาคตหรือเป็นวิชา Mickey Mouse เมื่อเทียบกับศาตร์อื่นอย่างหมอ, วิศวะ, ทันตะ, สถาปัตย์, บัญชี
ของสายวิทย์/ค านวณ หรือสายศิลป์ ด้วยกันอย่างนิติ, รัฐศาสตร์, นิเทศน์ แม้ว่าขณะที่ผมยังเรียนอยู่นั้นยังไม่ได้เกิดนิมิต
หมายชัดเจนของการด ารงชีวิตตามครรลองของความฝันอันสูงสุดเช่นนี้แต่บุคคลที่เริ่มจุดประกายความคิดให้ผมและ
มั่นใจว่ารวมถึงศิษย์เก่าอีกจ านวนมากคือ ฝรั่งหัวใจไทย- อาจารย์ Bruce Gaston กิตติศัพท์ของอาจารย์นั้นยิ่งใหญ่เป็น
ที่รู้จักกันดีล้นออกไปนอกรั้วอักษรอย่างไม่ต้องการค าอธิบายอะไรเพิ่ม ลูกศิษย์ลูกหาของอาจารย์ที่ผมเองก็นับถือน ้าใจ
และความสามารถขนาดยกไว้เป็น hero/heroine ได้อย่างสนิทใจก็มีอย่างเช่น จิ๋ว- สุรพล, อ้อม- ดวงกมล และกาดูกนพีสีผมถือว่าคนกลุ่มนี้เป็นผู้ที่โชคดีที่สุดในโลกซึ่งนอกจากจะมีโอกาสได้ท างานที่ตัวเองรักอยู่ทุกวันทุกลมหายใจ
แล้ว ยังเป็นคนที่จุดประกายความหวังให้คนรุ่นหลังได้สานศักยภาพความคิดสร้างสรรค์ให้ทรัพยากรมนุษย์อย่างไม่รู้
เหน็ดเหนื่อย ชนิดที่ได้ผลงานเห็นกันจริงๆ จะ ๆ ดีกว่าแผนพัฒนาชาติฉบับไหน ๆ ทั้งสิ้น
ผมเข้าไปเรียนอักษรด้วยความว่างเปล่า บวกลบคูณหารแล้วคุณค่าในการใช้เวลาสี่ปีที่นั่นของผมเท่ากับศูนย์เมื่อเทียบ
กับมาตรฐานศิษย์ปัจจุบันและศิษย์เก่าเกือบทุกคน แต่สามสิบปีผ่านมา ผมเริ่มซาบซึ้งกับ nothingness นั้น ผมเริ่มเข้า
ใจความไร้สาระประสาเด็กอักษรที่สามารถนั่งร้องไห้เวลาเห็นใบไม้ร่วงหรือยิ้มร่าเวลาดอกไม้บานได้แม้ว่าผมจะไม่ได้
ใช้วิชาที่เรียนมาเพื่อหากิน แต่สิ่งที่ตกผลึกข้างในคือความพึงพอใจกับชีวิต, ศิลปวัฒนธรรม, ความชื่นชมในศักยภาพ
ของมนุษย์และความงามของธรรมชาติ ซึ่งเป็นบทเรียนอันยิ่งใหญ่เกินกว่ามหาวิทยาลัยไหน ๆ ที่เข้าไปเรียนหลังจาก
จบอักษรจุฬามาจะสอนให้ได้
I wander’d lonely as a cloud
That floats on high o’er vales and hills,
When all at once I saw a crowd,
A host of golden daffodils,
….. . . . ……
(Daffodils by William Wordsworth)
อรรจน์ พานทอง
อบ. 50
ความคิดเห็นล่าสุด