Episode 2
สมัยนั้น เมื่อ 20 กว่าปีก่อน การเดินทางไปพนมเปญ เมืองหลวงไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะเขมรเพิ่งเปิดประเทศ กฎระเบียบทุกอย่างก็ใหม่ เจ้าหน้าที่ก็ใหม่ ทุกอย่างลัดขั้นตอนด้วยยูเอส ดอลล่าร์สหรัฐ ประชาชนก็เพิ่งเดินทางกลับเข้าประเทศจากค่ายผู้อพยพ บ้านเรือนต่างก็ถูกทิ้งให้รกร้างและโดนทำลาย เพราะผู้คนหนีเขมรแดงที่เข้ายึดครองประเทศและเข่นฆ่าคนเขมรด้วยกันเอง บ้านสวยๆ หรูๆ หลายหลังถูกบุกรุกและเข้าไปอยู่โดยคนที่ไม่ใช่เจ้าของ
ตอนยุคเขมรแดง คนที่มียศถาบรรดาศักดิ์ มีความรู้ พูดได้หลายภาษา คนกลุ่ม LGBT และต่างชาติจะถูกทรมานและสังหาร (ถ้าเราอยู่ช่วงนั้นก็คงไม่รอดเพราะคนใส่แว่นแสดงถึงเป็นคนมีการศึกษาสูง)
สำหรับเดอะ เนชั่น เพื่อเป็นการประหยัดงบ เรามักจะไปทำข่าวที่เขมรคนเดียวเพราะถ้ามีช่างภาพไปด้วย นั่นแสดงว่า งบที่ใช้ต้องเพิ่มเป็น 2 เท่าสำหรับตั๋วเครื่องบิน ห้องพักและเบี้ยเลี้ยง สมัยนั้น สำนักข่าวของไทยส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยเน้นการออกไปทำข่าวต่างประเทศ จะใช้ข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศเท่านั้น
เราช่วยเนชั่นประหยัดค่าใช้จ่ายมาก โทรหาคุณนายแม่ก็ไม่บ่อย นานๆ ทีหรือบางทีก็ให้พี่ที่เนชั่นโทรแทนเพื่อแจ้งว่า สบายดี
เดอะเนชั่น อยากได้มุมมองข่าวใหม่ๆ (โดยใช้งบน้อยที่สุด :P) ข่าวที่ต้องการคือ ข่าวที่มีผลกระทบกับไทยในทุกด้านและที่ บอกอ ในสมัยนั้นซึ่งก็คือ คุณเทพชัย หย่อง อยากได้มากคือ ข่าวสีสันและที่เกี่ยวกับคน เด็ก ความเป็นอยู่ของประชาชน (Human interest)
เราสนุกสนานกับการทำข่าวมาก ได้คุยกับคนเขมร (ผ่านล่าม) คนเขมรแทบจะทุกคนชอบออกความคิดเห็นและคุยกับคนไทย หลายต่อหลายคนพูดภาษาไทยได้เพราะมาอยู่ในค่ายผู้อพยพตามแนวชายแดนไทย-เขมรหลายปี และมักจะใจดีกับคนไทยเพราะสำหรับคนที่หนีตายจากประเทศของตัวเองและได้รับความช่วยเหลือจากไทย ก็ย่อมจะนึกถึงบุญคุณของประเทศไทย
เราไปทำข่าวคนเดียวก็ไม่ได้นึกกลัวอะไรๆ สิ่งแรกที่ทำเมื่อไปถึงพนมเปญคือ ติดต่อสถานทูตไทยเพื่อรายงานตัว ว่า หนูมาแล้วนะคะ พักที่โรงแรมนี้นั้น ด้วยความที่เป็นนักข่าวประจำกระทรวงต่างประเทศ ก็จะรู้จักทูตและข้าราชการสถานทูต ก็จะได้ข่าวและได้คำแนะนำเรื่องความปลอดภัย (หลายครั้ง นักการทูตไทยก็แอบฝากคำถามให้เราไปถามฝ่ายเขมรด้วยเพราะเขาจะถามเองจะไม่เหมาะสม 555) อ้อ ได้กินข้าวฟรีก็บ่อย
เขมรเป็นดินแดนแห่งทุ่งสังหาร มีความโศกเศร้าและหดหู่ทุกที่ ถามไปเถอะ ทุกครอบครัวจะต้องมีญาติพี่น้องที่โดนเขมรแดงฆ่าหรือหายสาบสูญ ตามความเชื่อแล้ว ทุกๆ ที่เคยมีคนตายและมีวิญญาณวนเวียนอยู่ทั่วไป เราเชื่อว่า ที่เขมร ต้องมีวิญญาณที่ตายเพราะความทุกข์มากกว่าที่อื่นแน่ แต่ก็ไม่เคยนึกกลัว (ตอนนั้น กลัวคนมากกว่า 555) ก่อนนอนก็ไหว้พระ ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง
โรงแรมที่ไปพักเป็นประจำเป็นโรงแรมเล็กๆ ของคนเขมรอยู่แถววิมานเอกราช ไปพักบ่อยจนคุ้นเคยกับสต๊าฟที่นั่น ค่าห้องไม่แพง น่าจะประมาณ 800 บาทต่อคืน
ครั้งหนึ่ง สั่งอาหารจากครัว จะสั่งข้าวผัดไก่ แต่ไม่มีใครเข้าใจภาษาอังกฤษเลย (ถ้าไปกินข้างนอก จะใช้วิธีจิ้มรูปในเมนู) ก็เลยต้องทำท่าผัดข้าว ตานี้ จะสั่งว่าใส่ไก่ สั่งว่า ชิกเก้นก็ไม่เข้าใจ ท้ายที่สุด ต้องทำท่าไก่ตีปีกพั่บๆ 555 อีกวัน สั่งข้าวผัดหมู ก็ไม่ยากแล้ว ก็ทำปากหมู พอจะสั่งไข่ดาวก็โชคดีที่ในครัวเขามีไข่อยู่แล้ว ไม่งั้น ก็อาจต้องทำท่าตีปีกและออกไข่
อ่านมาถึงตอนนี้ เพื่อนๆ อาจเคืองเราอยู่ในใจว่า ไม่เข้าเรื่องที่โปรยไว้ซักที 555 ก็ได้ๆ เดี๋ยวจะเคืองกันไปมากกว่านี้
เราพักคนเดียวที่โรงแรมนี้ทุกครั้ง เราก็ไม่เคยเจออะไรน่ากลัวๆ ทั้งๆ ที่สต๊าฟโรงแรมยืนยันว่า ได้ยินเสียงนั่นเสียงนี่อยู่เป็นประจำ หรือมีคนกลับมาจากกินเหล้าตอนกลางคืน เห็นอะไรแว่บไปแว่บมา จนกระทั่ง ….
เมื่อ นสพ. กรุงเทพธุรกิจซึ่งอยู่ในเครือของเนชั่นส่งพี่นักข่าวมือดีให้เดินทางเข้ามาพร้อมกัน หลายคนน่าจะรู้จักพี่บุญรัตน์ อภิชาตไตรสรณ์ ซึ่งทำข่าวต่างประเทศมานาน แปลหนังสือดังๆ ก็หลายเล่ม เราก็ชอบที่ได้เพื่อนร่วมทริปเพราะจะได้เป็นเพื่อนกันและน่าจะได้มุมข่าวใหม่ๆ ข้อมูลและแหล่งข่าวใหม่ๆ
พี่บุญรัตน์กับเราก็พักกันที่โรงแรมเดิม ได้ห้องใหญ่ขึ้นเพราะพัก 2 คน มีเตียงเดี่ยว 2 เตียง พี่บุญรัตน์ก็มีอาวุธคู่กายคือ พิมพ์ดีดกระเป๋าหิ้ว(ตอนนั้น โน้ตบุ้กยังไม่แพร่หลาย ของเราก็เป็นโน้ตบุ้กที่ตัวใหญ่และหนักอึ้ง โทรศัพท์ก็มีเครื่องเดียวที่ล็อบบี้ เวลาจะส่งข่าวก็ต้องมาต่อโน้ตบุ้กกับโทรศัพท์ เสียงหมุนโมเด็มดังทั่วล็อบบี้)
คืนแรกๆ ที่ไปพักก็เรียบร้อยดี เช้าก็ออกไปทำข่าวกัน เย็นก็กลับมาที่โรงแรก บางทีก็สั่งอาหารจากในครัวโรงแรม บางทีก็กินจากข้างนอก แต่ก็ไม่บ่อยเพราะกลัวท้องเสียและไปไหนมาไหนตอนกลางคืนก็ไม่สะดวกและไม่น่าจะปลอดภัย)
คืนนั้น พวกเราก็กลับมาที่ห้องพักเหมือนปกติ เรายังไม่ส่งข่าวเลยอาบน้ำก่อน แต่พี่บุญรัตน์นั่งทำงานต่อ พี่เขาเอาโต๊ะเล็กๆ มาวางระหว่างเตียงเรากับเตียงพี่เขา แล้วเอาพิมพ์ดีดมาวางและนั่งบนเตียงของเขาเพื่อพิมพ์งาน เราเลยว่า งั้นเรานอนก่อนนะ พี่บุญรัตน์ก็ว่า ตามสบายเพราะยังพิมพ์งานไม่เสร็จ เราก็เลยหลับไปก่อนโดยนอนตะแคงไปอีกด้าน ไม่ใช่ด้านที่พี่เขานั่งอยู่
เราตื่นขึ้นมาอีกทีกลางดึก ไม่รู้กี่โมงเหมือนกัน ไฟยังสว่างอยู่และได้ยินเสียงพิมพ์ดีดต๊อกแต๊กเป็นระยะ ในใจตอนนั้น เราก็คิดว่า ดึกแล้ว พี่บุญรัตน์ยังทำงานอยู่เลย เราเลยพลิกตัวกลับมาเพื่อจะดูว่า พี่เขายังทำงานอยู่เหรอ ว่าจะทักว่า ดึกแล้ว พอพลิกตัวกลับมา ก็เห็นพี่เขานั่งพิมพ์ดีดที่เดิมโดยไม่เงยหน้า
แต่…..ที่เราเห็นนั่งข้างๆ พี่เขาคือ ผู้หญิงไว้ผมสั้นแค่คอ หน้าม้าเต่อๆ เธอใส่เสื้อคอกระเช้าสีขาวๆ นุ่งผ้าถุงสีหม่นๆ เธอนั่งห้อยเท้าและท้าวแขนทั้ง 2 ข้างพร้อมทั้งชะโงกหน้าไปดูที่พี่บุญรัตน์กำลังพิมพ์อย่างสนใจ เราเห็นภาพเธอชัดมากทั้งๆ ที่ไม่ได้ใส่แว่น (ใครจะใส่แว่นนอนกันบ้างล่ะ)
ใครอ่านมาจนถึงตอนนี้คงคิดว่า เพื่อนคงลุกจากเตียงขึ้นมากรี๊ดลั่นโรงแรม 555 เปล่าจ้า เพื่อนพลิกตัวกลับไปพร้อมทั้งคิดว่า “ไม่เป็นไร ดีแล้วๆ พี่บุญรัตน์มีเพื่อนแล้ว” แล้วเพื่อนก็หลับไปจนเช้า 5555 (บอกแล้ว เราเป็นคนหลับง่าย)
เช้าวันรุ่งขึ้น เราเล่าให้พี่เขาฟังว่า เมื่อคืนเราเห็นอะไร พี่เขาฟังแล้วก็หัวเราะ เราก็หัวเราะ …. จบข่าว 555 โชคดีมากที่พี่เขาไม่กลัว ไม่งั้นคงได้ย้ายโรงแรมกันบ้างล่ะ
End of Episode 2
——————————–
#เรื่องยังไม่จบนะ ยังมีเหตุการณ์น่าขนหัวลุกอีก รอ Episode 3 ด้วยเน้อ
ความคิดเห็นล่าสุด