วันหนึ่ง เมื่อเริ่มเขียนเกี่ยวกับอาแม่ ทำให้รำลึกถึงความหลังหลายสิ่งหลายอย่าง สิ่งละอันพันละน้อย จึงอยากจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของลูกคนจีนที่โตมาในเยาวราช เอามาแบ่งปันกับเพื่อน เผื่อใครมีประสบการณ์ร่วมหรือต่างมาเล่าสู่กันฟัง ก่อนความทรงจำจะเลือนหาย และจะได้เก็บไว้อ่านตอนแก่กว่านี้ ตั้งใจไว้ว่าจะแบ่งเป็น 3 ตอน เกี่ยวกับการเรียน เกี่ยวกับคำสอนของแม่ในการดำเนินชีวิต และวัฒนธรรมจีน
หวังว่าเพื่อนๆ คงไม่เบื่อเสียก่อนนะ
ความหลังครั้งเผยอิง 1
ชาวเยาวราชไม่มีใครไม่รู้จักโรงเรียนเผยอิง หรือ “ป๋วยเอ็งฮักหาว” ตี๋หมวยยุคนั้น ถ้าต้องการเรียนภาษาจีนตั้งแต่ ป.1 ต้องมาเริ่มที่โรงเรียนแห่งนี้ที่มีศาลเจ้าจีนเหล่าปุงเถ่ากงตั้งอยู่ โรงเรียนดังไหม ไม่ทราบ รู้แต่ว่าเด็กๆ ย่านนั้นจะเข้าเรียนที่นี่ มารู้ภายหลังว่า มีคนระดับเจ้าสัวของเมืองไทยจบจากที่นี่หลายคน
โรงเรียนสวยมาก แต่คงต้องให้เข้าไปค้นดูในเน็ตเองค่ะ เพราะติดลิขสิทธิ์ทั้งนั้น ส่วนศาลเจ้าปึงเถ่ากงก็งามมากเช่นกัน
จำ ป.1-2 ไม่ได้เลย เรียนไปอย่างอึนๆ มึนๆ มีการสอนภาษาจีนกลาง จีนแต้จิ๋วและภาษาไทย จำได้เพียงว่าการบ้านมากมาย ทั้งคัดไทย เลข เขียนพู่กันจีน เขียนบันทึกประจำวันหรือ “หยิกกี่” เป็นภาษาจีน โถถัง เด็กสมัยนั้นจะมีอะไรให้เขียนมากมาย ชีวิตก็กิน เรียน ทำการบ้าน นอน วนเวียนเช่นนี้ ลำบากใจจริงๆ ต้องเขียนบันทึกสัปดาห์ละ 2-3 วันไปส่งครูให้ได้
ช่วงปิดเทอม คุณครูไม่เคยปล่อยให้เราว่างหรือเหงา มีการบ้านเป็นเล่มๆ ให้เราทำ ยิ่งกว่านั้น บางวันจะมีคุณครูดอดไปเยี่ยมบ้าน จำได้ว่าครั้งหนึ่ง คุณครูชาย-หญิงมาหาอาแม่ และถามว่าลูกๆ อยู่บ้านมีความประพฤติอย่างไร ช่วยเหลืองานบ้านไหม ซึ่งอาแม่ก็บรรยายความตามจริง อา…พี่ชายคนโต เล่นทั้งวัน อา…ลูกคนที่สาม (คือดิฉันเอง) ไม่ค่อยขยัน ไม่สั่ง อีก็ไม่ทำ 555 อาแม่ประจานลูกตรงๆ ไปตรงมามาก ส่วนลูกสาวคนโตพึ่งได้ ช่วยงานบ้าน ขยัน ดูแลน้องๆ นี่ดูสิการบ้านเสร็จแล้ว แต่ลูกคนที่สามเขียนไปได้สองหน้าก็เลิก ต้องยอมรับว่า ระบบดูแลนักเรียนของเขาดีจริงๆ ค่ะ คุณครูมาเยี่ยมทุกปิดเทอม
ช่วงเปิดเทอม มีระบบทำเวร คือทำความสะอาดห้อง และมีสารวัตรนักเรียนซึ่งจะผูกผ้าพันคอคล้ายลูกเสือ แต่ผ้าสีขาวสลับน้ำเงิน ถ้าจำไม่ผิด สารวัตรนักเรียนจะคอยเดินตรวจก่อนเข้าเรียนและหลังเลิกเรียน ว่าทิ้งขยะไหม กวาดห้องสะอาดไหม คุยกันเสียงดังไหม ถ้าห้องไหนคุยเสียงดังก็จะได้รูปอีกามาประจาน 1 สัปดาห์ ห้องไหนทำเวรไม่สะอาด ก็ได้รูปหมูสกปรกมาครอบครอง 1 สัปดาห์ ห้ามถามว่าห้องสะอาดดีงามได้อะไร เพราะอยู่มา 5 ปี (เขามีชั้น ป.1 เล็กด้วยนะ คล้ายๆ อนุบาล) จำได้ว่าห้องของตัวเอง ได้มาแต่อีกาหรือหมูสลับกันไป โดยเฉพาะช่วง ป.3 ได้จนครูประจำชั้นแทบร้องไห้ ช่วงหลังๆ สงสารครูประจำชั้น ก็พยายามเพลาเสียงและขยันกันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม พอขึ้น ป.4 เราได้คุณครูรังสิมาเป็นครูประจำชั้น คุณครูดุมาก แต่สอนหนังสือเก่งมาก และดูแลนักเรียนดี คงเพราะเหตุนี้ จู่ๆ จากเด็กตกๆ หล่นๆ ห้องนี้กลายเป็นห้องเด็กเรียนดี และสอบเข้าโรงเรียนดีๆ กันทั้งห้อง เมื่อไม่นานมานี้ได้หวนกลับไปเจอคนที่เรียน ป. 2 ด้วยกัน อาเฮีย (แกโตกว่าราวสองปี) จากเสี่ยน้อย อาเฮียกลายเป็นเถ้าแก่สืบต่อกิจการของทางบ้านแล้ว อาเฮียยังบอกว่า อ๋อ คุณครู…ที่ดุๆ ยังอยู่นะ ยังเดินผ่านหน้าร้านบ้าง จึงฝากความรำลึกถึง หากเจอคุณครูอีก
โรงเรียนนี้ยังมีการประกวดคัดลายมือด้วยพู่กันจีน ให้ทายว่าดิฉันได้รางวัลไหม ไม่เลยค่ะ ลายมือไม่สวยจริงๆ พี่สาวจะได้ติดบอร์ดบริเวณที่ทานอาหารกลางวันบ่อยมาก จำได้ว่าไปยืนดูบ่อยๆ ด้วยความภูมิใจ คุณพี่ได้รับเลือกเล่านิทานจีนด้วย และแน่นอน เป็นสารวัตรนักเรียนที่ไม่เคยปรานีห้องน้องสาวแม้แต่น้อย
ความหลังครั้งเผยอิง 2
วีรกรรมวีรเวร โดนตีทั้งห้อง ของกิน หมาหอนฯ
โดนตีทั้งห้อง แน่นอน ก็ต้องตอน ป. 3 น่ะสิ ห้องที่เรียนอยู่นั้น เยื้องกับร้านขายหอยทอดชื่อดัง สำหรับดิฉันจัดเป็นร้านอันดับหนึ่ง และยังมีร้านอันดับสองอีกแห่งหนึ่งอยู่แถวภัตตาคารจีนย่านเทียนกัวเทียน แต่ ณ ร้านอันดับหนี่งนี้แหละที่มีวาสนาได้ชิมบ่อยหน่อย เหตุเพราะอยู่ใกล้โรงเรียน
วันดีคืนดี เพื่อนนักเรียนชายร่วมห้องก็เกิดอยากพิสูจน์ความแม่นยำ เอาชอล์กมาหักครึ่ง แล้วผลัดกันปาลงไปในกระทะหอยทอด ผลัดกันปาอยู่นาน จนอาอึ้มทนไม่ไหว วิ่งมาฟ้องคุณครูที่โรงเรียน ผลก็คือ โดนตีทั้งห้อง แต่ก็ไม่ได้ทำให้โกรธเคืองอะไรหนักหนา ตีเสร็จ เมื่อได้โอกาสเราก็ลืมเรื่องถูกตีถูกดุ และไปกินหอยทอดอย่างสบายใจ วันเสาร์เรียนแค่ครึ่งวัน วันไหนอาเหล่าอึ้มที่อาแม่ส่งมารับอารมณ์ดี มีตังค์เหลือ ก็จะพาไปกินหอยนางรมทอด ไม่เคยได้กินเต็มจานเพราะจัดเป็นอาหารราคาแพง อาเหล่าอึ้มแบ่งให้กินนิดๆ หน่อยๆ ก็ดีใจจะแย่ หอยนางรมทอดที่สลักแน่นในความทรงจำ คือ แป้งจะต้องกรอบนอกนุ่มใน เวลาทอดแป้งต้องมีเทคนิคเอียงกระทะไปมา อาแปะหรืออาอึ้มคนทอดจะไม่ทำมากกว่า 2-3 จานต่อครั้ง ลูกค้านั่งคอยกันอย่างไม่ย่อท้อ ส่วนหอยนางรมก็ต้องใช้แป้งที่เหนียวกว่ามาผัดกับต้นหอม แล้วราดบนแป้งที่ทอดเตรียมไว้ เครื่องปรุงมีให้เลือก คือน้ำปลาหรือน้ำพริกศรีราชา บางครั้งอาเหล่าอึ้มก็จะสั่ง “ซังเพ็ง” คือ หอยคู่ หมายถึงหอยแมงภู่ทอดแล้วราดด้วยหอยนางรม จานนี้คือหรูหราที่สุดในวัยเด็กละ รู้สึกจะจำหอยทอดได้มากกว่าห้องเรียน 555 ภายหลังได้ยินว่าลูกหลานเขากลายเป็นเจ้าสัวคนหนึ่งของประเทศไทย ร้านหอยทอดก็ปิดไป ทิ้งไว้ในความทรงจำครั้งยังเยาว์
ของกินที่ชอบมากอีกอย่างหนึ่ง คือ ขนมน้ำตาลปั้นสูบลมเป็นรูปต่างๆ ลิงบ้าง เสือบ้าง มังกรก็มี แต่ชอบดูนะ ไม่มีวาสนาจะกิน นานๆ จะมีคนมาสั่งอาแปะทำรูปสัตว์สวยๆ ถึงไม่ได้กิน ก็ขอให้ได้ยืนดู ไม่เคยได้กินเพราะราคาแพงมาก สำหรับเด็กสมัยนั้น รูปสัตว์ง่ายๆ ก็อาจจะ 3-5 บาท อาเหล่าอึ้มที่มารับก็จะเอ็ดทุกครั้ง อยากกินทำไมลื้อไม่เก็บเงินซื้อละ แม่ให้ตังค์ลื้อ 2 บาท ลื้อเก็บทั้งอาทิตย์ ลื้ออยากได้เสือ ได้มังกร ก็ได้นะ จริงๆ มังกรน่าจะ 20 บาท ไม่กล้าบอกอาเหล่าอึ้มว่า ตังค์อยู่ในกระเป๋าเรียน แต่กลายเป็นนิทานหมดแล้ว กลัวโดนอาเหล่าอึ้มด่า คนจีนสมัยก่อนไม่ชอบให้อ่านนิทานนิยาย เขามองว่าเสียเวลาอ่านหนังสือ เสียเวลาทำงาน
ของกินอีกอย่างที่ชอบมาก คือ ข้าวหมูแดง เด็กๆ กินข้าวหมูแดงที่ตรอกแปลงนามทุกวันเสาร์ ก่อนไปเรียน แม่จะพาไปกิน รู้สึกว่าอร่อยมาก เพราะเป็นช่วงที่เราได้อยู่กับแม่สองต่อสอง พี่น้องเขาย้ายไปเรียนโรงเรียนอื่น ไม่มีเรียนวันเสาร์ ข้าวหมูแดงอีกเจ้าที่อร่อยล้ำตั้งอยู่ที่ตรอกเท็กซัส ไม่ไกลมาก ตรงข้ามกันมีก๋วยเตี๋ยวหลอดที่เส้นใส่กุ้งแห้งแดงๆ แถวเยาวราชยังมีร้านก๋วยเตี๋ยวเป็ดอร่อยๆ อีกร้านหนึ่ง น่าจะหายไปแล้ว อยู่ในซอยลึกลับพอควร ก่อนถึงวงเวียนโอเดี้ยน หน้าปากซอยมีคนขายขนมเต้าทึง ก็อร่อยมากอีกเหมือนกัน ส่วนร้านก๋วยจับเจ้าเก่าแก่นั้น มักไปช่วยอาแจ้แกะแผ่นก๋วยจับบ่อยๆ
มาจะกล่าวบทถึงอาโกวผู้น่ารัก ผู้มีคุณุปการ อาโกวเป็นเพื่อนสนิทของแม่ ที่ไม่ใช่ญาติแต่ก็เหมือนญาติ อาโกวผู้สอนให้หลงรักขนมไทยๆ ช่วงบ่ายๆ เย็นๆ แม่มักไม่ว่างดูแลลูกๆ แต่อาโกวซึ่งแก่กว่าแม่หลายปี ลูกโตทำงานแล้ว จึงมักพาดิฉันไปซื้อขนมไทยๆ จากคุณยายคนหนึ่งในตลาด คุณยายห่อขนมทุกอย่างด้วยใบตอง ขนมหอมมาก ทั้งขนมชั้น เปียกปูน ขี้หนู ถั่วแปบ ขนมถ้วยก็จะบรรจงแกะใส่กระทงใบตอง อาโกวจะอนุญาตให้เลือก 1 ห่อทุกครั้ง กินเสร็จแล้ว ก็นั่งทำการบ้านจนกว่าแม่จะเสร็จงาน และพากลับบ้าน บางครั้งแม่ยุ่งมาก งานหนัก อาโกวก็จะให้ค้างที่บ้าน ซึ่งก็ดี เพราะอยู่ใกล้โรงเรียนเผยอิงมาก แต่ว่าเหตุใดจึงให้เรานอนคนเดียวบนชั้น 4 ขอถาม ที่บ้านนี้ชอบปลูกต้นไม้ และปลูกได้งอกงาม โดยเฉพาะกล้วยไม้กับต้นเดฟ เวลามองออกไปดึกๆ น่ากลัวมาก ขอบอก ต้นเดฟ จะส่ายไปมาเบาตามสายลม บรื้อววว์ แถมด้วยเสียงละครวิทยุของอาแปะร้านขายก๋วยจั๊บ โฮ่งๆ ฮู้ๆๆๆ พี่มากขาาา แค่ฟังก็อาจจับไข้ได้ ทางออกเดียว คือ คลุมโปงและรีบหลับให้เร็วที่สุด
บทเรียนจากรองเท้าข้างเดียว
สมัยยังเป็นเด็ก เคยได้รับโจทย์ยากมากเลยสำหรับเด็ก ป. 3 หรือ ป. 4 นั่นคือ ทำรองเท้าจากกระดาษแข็ง สาเหตุที่ยาก เพราะเป็นคนไม่มีฝีมือด้านงานศิลป์เลย ไม่ว่าจะร้อยพวงมาลัย ทำกับข้าว เลื่อยกะลา ตัดเสื้อ หนักสุดคือ ดุนหนัง ซึ่งมาเรียนในช่วงประถม 5-7 สมัยก่อนโรงเรียนก็ช่างสอนให้เรียนทุกอย่าง ตอนเรียนก็ทุกข์ทน แต่ต่อมาใช้ประโยชน์ได้นะ อย่างน้อยไปเรียนเมืองนอกก็หุงข้าวเป็น ติดกระดุมเป็น สอยเสื้อได้
แต่งานแรกที่ยังจำได้ไม่รู้ลืมคือ เย็บรองเท้า นอกจากจะเป็นคนเกลียดงานศิลปะแล้ว ยังเป็นคนขี้เบื่อ ทำเสร็จไปหนึ่งข้าง ก็ทำสายตาอ้อนๆ ไปยังตั่วแจ้ “ช่วยหน่อยสิ นะ นะ น่า น้า” พี่สาวก็บอกว่า ทำน่ะทำให้ได้ แต่ถ้าแม่รู้ โดนดุแน่
ตกเย็นแม่กลับมา ราวกับมีญานหยั่งรู้ ขอดูการบ้านก่อนเลย ทำไมรองเท้าสองข้างจึงต่างกันราวฟ้ากับดิน แน่นอน การโกหกนั้น อาจทำให้แม่เปิดศาลไคฟงได้ จึงรับสารภาพแต่โดยดี แม่เลาะรองเท้าข้างงามๆ และนั่งคุมให้ทำใหม่ น้ำตารินเลยแหละ เพราะการทำงานจากที่เลาะออกมา จะยากและออกมาแย่ขนาดไหน คงพอนึกภาพออก ระหว่างนั้น แม่ก็อบรมสั่งสอนว่า ทำงานที่ได้มอบหมายมา ต้องทำให้เสร็จด้วยตนเอง แม้เราจะพยายามบอกอ่อยๆ ว่า ก็ทำไม่สวย อยากได้งานสวยๆ ไปส่งครู แม่ก็บอกว่า ไม่ได้ ถึงจะทำไม่สวย ก็ควรภูมิใจถ้าเราเพียรทำจนสำเร็จ ถ้าไม่หัดทำทุกสิ่งด้วยตนเอง เอาแต่พึ่งพาคนอื่น จะไม่เจริญ
ไม่รู้ว่าทำไม กลัวคำว่าไม่เจริญของแม่มาก มีความเชื่อตลอดว่า วาจาของแม่ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าแม่ชมหรือให้พร จะเป็นดังแม่กล่าว ตั้งแต่นั้นมา ทำสิ่งใดไม่ว่าจะยากง่ายแค่ไหน ก็จะเพียรทำจนเสร็จ ขอบคุณรองเท้าข้างนั้น ขอบคุณแม่ที่ปลูกฝังให้ลูกเป็นเช่นนี้ งานยากๆ อย่างดอนกิโฆเต้ ก็สำเร็จด้วยคำสอนของแม่
ถึงคุณนายแม่ แม่คงขำ จำได้กระทั่งเรื่องรองเท้า
แม่คนนี้ไม่ได้เรียน แต่ทำให้ลูกและเพื่อนๆ ของลูกจบปริญญาเอก
แม่เล่าว่าไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะที่บ้านไม่มีใครเป็นแรงงานได้ นอกจากแม่ แม่จึงถูกส่งไปดูคนแก่ตั้งแต่ 8 ขวบ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเด็ก 8 ขวบทำงานอะไรได้บ้าง แม่จำได้แต่ว่าพอสิ้นสัปดาห์ก็เอาเงิน 3 ตังค์กลับมาบ้าน (สามตังค์ คือเท่าไหร่ก็ไม่ทราบ แม่พูดว่า “ซาไก่ตัง” แม่อาจไม่รู้ว่าสามเหรียญที่แม่กำกลับมาให้น้ามีมูลค่าเท่าไหร่) ต่อมา โตขึ้นอีกหน่อย ก็เริ่มขายผักในตลาด พอโปลิบมาไล่ให้ไปเรียน แม่ก็คว้าผ้าถุงมาสวมทับกางเกง แล้วบอกว่ากำลังจะไปจ้า พอคล้อยหลัง แม่ก็จัดผัก ส่งผักตามภัตตาคารจีน เอาเถิดเจ้าล่อกับโปลิบหลายครั้ง
เคยถามแม่ว่า ไม่อยากเรียนหนังสือบ้างหรือ แม่บอกว่าอยากสิ แต่ไม่มีใครทำงานได้ อาม่าก็ค้าขายไม่เป็น (ทั้งอากงอาม่าที่จริงแล้วมีศักดิ์เป็นน้าและน้าเขย) ส่วนลูกของอากงอาม่าไปเรียน แม่จึงเป็นกำลังหลักช่วยอากงขายของตั้งแต่เล็กๆ ครูสอนภาษาไทยของแม่คือ ละครวิทยุ เปิดไป ฟังไป ทำงานไป ส่วนภาษาจีนก็ครูพักลักจำเอา แม่จึงบอกเสมอว่า ลูกอยากเรียนสูงแค่ไหน แม่จะส่งจนสุดความสามารถ โชคดี สมัยก่อนค่าเรียนไม่แพง ความฝันของแม่จึงสำเร็จได้ไม่ยากนัก แต่ก็ต้องเปียแชร์ ส่งแชร์กันหลายยก เวลาลูกไปเรียนเมืองนอก ที่บ้านจึงมีทั้งคนจบตรี โท เอกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในไทยและต่างประเทศ จนถึงชั้นหลาน อาแม่ซึ่งกลายเป็นอาม่าก็พร่ำสอนว่า ลื้อจะอยากทำอะไรก็ตาม อาม่าไม่ว่า แต่ต้องเรียนหนังสือก่อน แล้วค่อยตัดสินใจทีหลัง
ตอนเรียน ป.เอก ดิฉันเรียนเต็มรูป ต่างจากปัจจุบันที่ จบ ป.โท มีหัวข้อวิทยานิพนธ์ ก็เริ่มเขียนงานได้เลย สมัยที่ไปเรียน ป.เอก หลักสูตรยังเต็มพิกัด คือ เข้าคอร์สเวิร์ค 1 ปี ทำสาระนิพนธ์ อีก 1-2 ปี แล้วจึงทำวิทยานิพนธ์ ซึ่งจะจวนเจียนมากสำหรับการได้รับทุนจาก กพ. คือเราอาจมีเวลาแค่ 2ปีกว่าๆ ในการเขียนธีซิส
ช่วงที่ทุกข์ใจ คือ เหลืออีก 2 ปีครึ่ง จู่ๆ ก็ประสบปัญหาต้องเปลี่ยนอาจารย์ที่ปรึกษา เปลี่ยนหัวข้อ ทำให้ไม่อาจดัดแปลงให้สาระนิพนธ์เป็นส่วนหนึ่งของวิทยานิพนธ์ได้ เท่ากับต้องเริ่มใหม่หมด ค้นคว้าใหม่ จึงโทรมารำพันกับแม่ว่า แย่แล้ว ตายแน่ ทำไม่ทันหรอก สายวรรณคดี ครูขอให้เขียนขั้นต่ำ 400-500 หน้าด้วย (ไม่รู้จะชั่งกิโลกันหรือไง)
แม่ก็ฟังๆ แล้วสรุปว่า 500 หน้า 2 ปีครึ่ง ง่ายๆ นะลูก ทำเสร็จแน่นอน ลูกเขียนแค่วันละหน้า ปีหนึ่ง 365 วัน ปีหนึ่งก็ 300 หน้า 2 ปี ก็ 600 หน้าแล้ว
สุดท้าย ดิฉันก็ปิดเล่มไปที่ 600 หน้าดังแม่ให้พร
ดิฉันยังแซวแม่ แม่คิดเลขผิดแล้ว ปีหนึ่งมี 365 วันนะ แม่หัวเราะ ก็อั๊วให้ลื้อพักไง หยุดวันอาทิตย์ 52 วัน อีก 10 กว่าวันที่เหลือ อั๊วให้ลื้อไปเที่ยวพักผ่อน คนเราอ่ะนะ เอาแต่ทำงานไม่ได้ ต้องคลายเครียดบ้าง
แม้ว่าตารางเรียนที่แม่มอบให้อาจเป็นตารางตลกๆ เพราะที่จริงเราต้องอ่าน ต้องค้น วิเคราะห์ก่อนลงมือเขียน แต่ทำให้ดิฉันเห็นทางสว่างดุจไฟในมือแม่ส่องนำทางตลอดระยะเวลา 2 ปีกว่านั้น ดิฉันเขียนธีซิสจบเป็นคนที่สองของเพื่อนในรุ่นซึ่งเป็นชาวสเปนและอเมริกาใต้ ใช้ภาษาสเปนเป็นภาษาแม่ จบเร็วในสายตาเพื่อนๆ จนขอสัมภาษณ์ เพื่อนบางคนลงมือก่อนด้วยซ้ำ ยังเตาะแตะอยู่ จึงเล่าถ้อยคำง่ายๆ ของแม่ผู้ไม่รู้หนังสือให้ฟัง เพื่อนๆ อึ้งและบอกว่า แม่เธอฉลาดหลักแหลมจริงๆ และขอยืมถ้อยคำไปพิมพ์ติดฝาผนังเตือนใจตน จนทะยอยเรียนจบต่อๆ มา
แม่ส่งลูกถึงฝั่งและส่งอีกหลายๆ คน แบบนี้ชาติหน้า แม่ได้เรียนสูงๆ ดังใจปรารถนาแน่นอน
อาแม่กับเครื่องราชฯ
เมื่ออาแม่ป่วยและต้องอยู่แต่ในห้องนอน ดิฉันไม่ค่อยมีความสามารถอะไรในการดูแลคนป่วยนัก เพราะไม่ค่อยละเอียดอ่อน อ่านใจใครไม่ค่อยออก อาศัยแต่ว่าช่างคุย ชอบรื้อฟื้นเรื่องเก่ามาทบทวนกับแม่ โดยมากก็เน้นเรื่องทำบุญ สร้างวัด ฯ ที่แม่ชอบทำ จะได้ให้แม่ชื่นใจเป็นแรงบุญหนุนนำในภพหน้าต่อไป
ความยากอยู่ที่ต้องพูดเสียงในฟิล์ม เพราะคนแก่เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย ศักยภาพการพูดภาษาไทย (ภาษาต่างประเทศสำหรับแม่) จะหายไป สังเกตได้จากแม่เหนื่อยและหงุดหงิด ไม่อยากคุย แต่ถ้าพูดภาษาจีนจะเสียงใสและคุยคล่องขึ้นมาทันควัน เป็นหน้าที่ของลูกผู้ใช้ภาษาสเปนเป็นภาษาที่สอง อังกฤษเป็นภาษาที่สาม ต้องเคาะสนิมภาษาจีนมาแต้จิ๋วกับแม่ แม่ก็ขำโครงสร้างและศัพท์แปลกๆ ของลูก บางทีก็มีบ่น “ลื้ออ่ะ ตึ่งหนั่งเกี้ยโบ่ยต๊าตึ่ง หนั่งอ่วยเหลี่ยว” (ลูกคนจีนพูดภาษาจีนไม่ได้แล้ว 555) จู่ๆ คุยอยู่ดีๆ แม่ถามขึ้นมาว่า “ลื้อฮอข่อซีเก้าหม้อ” (ลูกขอ…ได้ไหม) อะไรนะแม่ ซีเก้า สีเก้า(หมาตาย) คืออะไรหรือ หน้าแม่คืองง ว่าทำไมลูกไม่รู้ ก็ที่มีสายสีน้ำเงินๆ ไง ลื้อจะได้รับกับในหลวงเชียวนะ
อ๋ออออออ แม่หมายถึงลูกจะได้ C9 ไหม นึกว่าศัพท์จีนซะอีก 555 คุณแม่ดิฉันรู้จัก C 9 ด้วย ต้องขอสัมภาษณ์ แม่รู้ได้ไงอ่ะว่า คนได้ C9จะได้สายสะพาย แถมรู้สีอีก อาคุณลูกยังไม่รู้เลยว่าสีอะไร อาแม่บอก ถามเพื่อนๆ เอา เพื่อนบางคนเป็นคุณนายมีตำแหน่ง ก็ให้เขาอธิบายให้ฟัง โหๆๆ ดิฉันอึ้งไป แม่บอก เราทำงานต้องรู้ว่าเป้าหมายคืออะไร อย่าแค่ชอบสอน ชอบแปล ชอบเขียนหนังสือ ก็สอน ก็แปล ก็เขียนไปตลอด ต้องรู้ว่าเอาไปทำอะไรได้บ้าง แอบนึกว่า อาแม่น่าจะไปอยู่หน่วยให้คำปรึกษาวิชาการ หรือหน่วยส่งเสริมนะนี่
อาแม่ยังอธิบายให้ลูกฟังต่อว่า ลื้อรู้ไหม อากงสอบได้ที่หนึ่งของมณฑล ลื้อก็มีสายเลือดอากง ก็ทำได้ เพียงแต่ลื้อไม่ค่อยสนใจเรื่องเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง อาแม่ว่า ตำแหน่งไทย ก็คล้ายตำแหน่งจีนนะ ลื้อดูหนังจีนสิ ของจีนอ่ะ จอหงวนได้ ระดับ 1 และลดลงมาเรื่อยๆ ถึงระดับ 9 ของไทยก็กลับกัน ซึ 9 ซี 10 เป็นตำแหน่งสูง
สรุปว่า อาแม่อยากให้ลูกได้ใช่ไหม แม่ก็ตอบว่า ใช่ ลื้อซี 8 มาตั้งนานแล้ว ทำต่อไปเถอะ ได้แต่บอกแม่ว่า จะพยายามนะ แม่ยิ้ม ลื้อทำได้ ลื้อดื้อดี อาแม่รู้ ถ้าลื้ออยากทำอะไร ลื้อก็ทำไปจนเสร็จนั่นแหละ
แม้ระเบียบใหม่จะได้รับกับพระบรมฉายาลักษณ์ แต่ก็นับว่าเป็นเกียรติเป็นความภูมิใจที่ได้ทำให้อาแม่แล้วนะจ๊ะ วันนี้ลูกไปรับเครื่องราชฯ ชั้นประถมาภรณ์มงกุฎไทยนะอาแม่ อีกสักสามปี ก็น่าจะได้รับระดับสูงขึ้นไปอีก อาแม่คงดีใจ
ซี 10 นี้ขอแถม
วันนี้ได้บอกกล่าวอาแม่ว่า ลูกได้ทำตามสัญญากับอาแม่ว่าจะทำ C9 ให้ได้ แต่ดูแล้วยังมีงานตำราและงานแปลที่ยังไม่ได้ขอตำแหน่ง จึงได้ยื่นขอC 10 ไปเมื่อ ปี 2561 ทำเกินดีกว่าทำขาดนะ
คิดถึงว่าถ้ายังอยู่ อาแม่คงดีใจ และคงสอนให้เราติดดินอย่างรวดเร็วเหมือนทุกครั้ง
เวลาลูกสอบเอ็นทรานซ์ได้คณะในฝันของคนยุคนั้น อาแม่ไม่เคยให้รางวัลหรูๆ ทันที เรายังคงกลับบ้านกินข้าวต้มเหมือนเดิม รอเมื่อโอกาสอันเหมาะอาแม่จึงจะให้รางวัล รางวัลในรอบนั้น คือ เมื่อเราขึ้นปีสอง สอบได้ทุนไปฝรั่งเศสสองอาทิตย์ แต่ต้องออกค่าตั๋วเครื่องบินเอง อาแม่ก็บอกว่าไปเถอะ อาแม่ให้เงินติดกระเป๋ามาด้วยหลายหมื่นบาท ซึ่งเมื่อ 30 กว่าปีก่อนเป็นเงินจำนวนมิใช่น้อย
ต่อมา เมื่อได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทอง รับเหรียญรับปริญญาเสร็จ วันนั้นก็กลับไปกินข้าวต้มดังเดิม ตอนอายุน้อยๆ ก็แอบคิดเหมือนกันว่า แม่ขี้เหนียว ไม่เห็นจะให้รางวัลใหญ่ๆ เลย นี่ยากนะ กว่าจะทำได้ แต่ก็บังเอิญไปเรียนต่อสเปนอีก ลืมไปจนกระทั่ง นานต่อมา ได้รับเครื่องราชฯ ชั้น Isabel la Católica จากประเทศสเปน ก็ลองถามดู แม่ดีใจไหม แม่ก็ตอบ ดีใจสิ ที่จริงแววตาอาแม่บ่งบอกทุกสิ่ง แต่ความเป็น Wednesday child ก็อดไม่ได้จะถาม เท่าไหนล่ะ อ๋อ ก็เท่าเวลาอาแม่ซื้อเครื่องครัวใหม่ทั้งชุดไงล่ะ ความดีใจตัวลอยสะดุดกึก เบรคเอี๊ยดเลย เพราะงง ลูกงงค่ะ ไปนั่งคิดคืนหนึ่ง อ๋อ อาแม่หมายถึง การได้รางวัลใดๆ เราต้องทำตัวให้เป็นประโยชน์ และรักษาคุณภาพของเราให้คงทนถาวร คือ เครื่องครัวที่บ้าน แทบกราบได้ทุกชิ้น กว่าอาแม่จะถูกใจแล้วซื้อ จะต้องใช้ทนใช้นาน นานมาก อายุมากกว่าลูกอีกนะ
ดังนั้น รางวัลหรือเกียรติใดๆ ที่ได้ ก็ต้องรักษาความดีให้สมกับเครื่องครัวของอาแม่ ต้องไม่เหลิง ไม่ฟุ้งซ่านและเป็นประโยชน์สินะ
ขอปลื้มแบบเหลิงๆ สักครั้งนะ คุณนายแม่ ขอบคุณอาแม่ที่ส่งเสริมการเรียนของลูก การทำงานของลูก ขอบคุณโสมจีนต้มทุกแผ่น
ขอบคุณผู้ทรงคุณวุฒิทุกคนที่ช่วยอ่านงานวิชาการ และตรวจงานด้วยเมตตาจิต
ขอบคุณพี่น้องทุกคนที่มีน้ำใจช่วยเหลือ แม้กระทั่งวาดปก จัดหน้าให้อย่างด่วนๆ หรือนั่งเป็นกำลังใจลุ้นให้งานเสร็จ ฯ ขอบคุณทุกคนจริงๆ อาแม่สอนตลอด ดื่มน้ำแล้วต้องคิดถึงลำธาร
ความคิดเห็นล่าสุด