อยากจะขอแชร์ประสบการณ์ที่เพิ่งเจอเมื่อเร็วๆนี้ ออกจะยาวสักหน่อยแต่อาจเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ
ขอเท้าความก่อนว่า เรามีภูมิแพ้มาตั้งแต่เล็กๆ และมักมีน้ำมูกไหล แบบคาดเดาสถานการณ์ไม่ได้ บางครั้งร้อนเกิน น้ำมูกก็ไหล หนาวเกินก็ออก แต่ช่วงโควิดที่ผ่านมาตั้งแต่ธันวาคมปี 2019 ถึงกันยายน 2021 เวลาปีกว่า เราไม่ได้ไปหาหมอเนื่องจากติดเชื้อทางเดินหายใจเลย
ประมาณวันศุกร์ที่ 24 กันยายน 2564 เราไปโรงพยาบาลธนบุรี เพื่อทำการอุดฟันที่แตก บิ่น (ทิ้งมาเป็นเดือนๆ เนื่องจากติดการปิดเมืองช่วงโควิด และไม่กล้าไปโรงพยาบาลช่วงที่ยอดผู้ติดเชื้อขึ้นสูง หมื่นกว่าคนทุกวัน)
ประมาณวันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน 2564 เรารู้สึกไม่ปรกติ บอกไม่ถูก ปวดหัว ปวดอะไร จนนอนไปคืนนึงตื่นมาอีกวัน ค่อยๆทำความรู้สึก รู้สึกปวดแก้มซ้าย และเป็นข้างเดียวกับที่เพิ่งไปอุดฟันที่แตกมา ก็พยายามรู้ว่า ปวดฟันรึปวดแก้ม มันแยกยากจริงๆ
สุดท้ายคิดว่าปวดแก้ม เลยตัดสินใจโทรหาหมอประจำภูมิแพ้ เพื่อจะนัดเข้าไปตรวจ โรงพยาบาลแจ้งว่าอาจารย์เกษียนอายุไปแล้ว เราเลยโทรไปที่คลีนิค คลีนิคบอกหยุดทุก ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ นั่นหมายความว่าเราต้องรีบออกไปหาหมอ เพราะวันนี้คือวันพฤหัสบดี และคลีนิคทำงานช่วง 17.00-19•00 หยุดรับคิวช่วงหนึ่งทุ่ม เนื่องจากสถานการณ์โควิด ความที่ปวดหัว ปวดหน้า ไม่อยากจะรีบจัดการอะไร เลยคิดว่างั้น เราจะเปลี่ยนไปหาหมอที่รพ.XXX ชั้นนำใจกลางสุขุมวิทพรุ่งนี้
เช้าวันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม 2564 ก็ไปหาหมอแผนก หู คอจมูกที่รพ.XXX ในขณะที่เข้าไปเจอหมอผู้ชายวัยกลางคน หมอถามว่ามีอาการอะไรมา เลยบอกไปว่าปวดแก้ม คิดว่าจะเป็นไซนัส [ข้อบ่งชี้นี้ อยากจะบอกเพื่อนว่าเราอย่าไปชี้นำหมอ เพราะเขาจะบันทึกเป็นหลักฐานว่าเรามาหาเขาเพราะเราคิดว่าเป็นอะไร มีผลต่อประกันของพวกเรา]
หมอบอก คุณรู้ได้ไง ไม่รู้หรอก ถ้ายังไม่ได้รับการตรวจ คุณเลือกเอาว่าคุณจะส่องกล้อง หรือคุณจะทำ ct scan ที่เห็นภาพหน้าตัดหมดว่าคุณเป็นอะไร
[หลังจากผ่านเหตุการณ์ทั้งหมด ขอให้เพื่อนจำประโยคนี้ที่หมอถามเราไว้ เราไม่จำเป็นต้องทำ CT scan เลย หมอวินิจฉัยเบื้องต้นด้วยการส่องกล้องก็รู้แล้ว]
ด้วยความที่กลัวว่าส่องกล้องจะเจ็บ ไม่ได้รู้เลยว่ามันเป็นแค่กล้องรูเข็ม และเขาจะสอดยาชา ก่อนการส่อง เลยเสียค่าโง่ 20,000 บาท และรับรังสีสูงจากการทำCT scan อีก
พอผล CT scan ออก หมอพูดปรกติ เป็นไซนัสจริง เดี๋ยวจ่ายยาฆ่าเชื้อให้ไปกิน 2 อาทิตย์เช้า-เย็น แล้วกลับมาเจอกันวันที่ 15 ตุลาคม เป็นครั้งแรกที่ไปหาหมอ แล้วหมอวินิจฉัยได้ ต้องทำการ CT scan ซึ่งมันไม่จำเป็นเลยจริงๆ
หลังจากกินยาวันแรก อาการปวดแก้มก็หายเป็นปลิดทิ้ง รวบรัดตัดความเรากลับไปหาหมอวันที่ 15 ตุลาคม 2564 หมอจัดการส่องกล้องให้เราโดยไม่ต้องถาม และสรุป เอาผล CT scan คราวก่อนขึ้นมาคุยว่า แก้มด้านซ้ายมีหนองในโพรงไซนัสเต็ม ส่วนด้านขวามีครึ่งนึง แต่คุณเห็นขาวๆในภาพไหม มันคือเชื้อรานะ คุณต้องทำการผ่าล้างนะ คุณเอาไปคิดแล้วค่อยยืนยันว่าจะทำหรือไม่ แต่หมอแนะนำให้ทำ เพราะถ้าคุณมีมันก็จะเป็นจุดอ่อนให้คุณเป็นแบบนี้
เราถามค่าใช้จ่าย หมอบอกเดี๋ยวพยาบาลจะแจ้งไป
แต่เราไม่สบายใจกับวิธีหมอ และกลับมาหาข้อมูล การผ่าล้างไซนัส ค่าใช้จ่ายอยู่ระหว่าง 250,000-300,000฿ ต่างกันไปแล้วแต่ละรพ. ราคารพ.เอกชนประมาณนี้ เรื่องเงินก็ยังไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่ากับ กลัวที่จะผ่าตัด ก็เขียนหาเพื่อนๆที่สนิท และคิดว่ายังไงเราต้องไปขอ 2nd opinion จากหมอคนอื่น ได้ข้อมูลรพ.เอกชนระดับเดียวกันมา เราคิดว่าไปก็คงโดนผ่า เลยตัดสินใจหาข้อมูลได้ชื่อ รศ.พร.ปารยะ อาศนะเสน ที่ศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ มา ตัดสินใจไปหาหมอคนนี้
ไปถึง เราเป็นคิวแทรกที่ต้องรอคิวนัดหมดก่อน เมื่อเจออจ. ระหว่างที่รอให้ยาชาทำงาน อจ.เอาเอกสารเรื่องไซนัสมาให้อ่าน บอกชนิด และแนวทางการรักษา เพิ่งรู้เป็นครั้งแรกว่าไซนัสเกิดได้หลายสาเหตุ และสาเหตุนึงที่ทำให้เป็นคือ การติดเชื้อรา ยังมีแบบแพร่กระจาย และไม่แพร่กระจายด้วย
พอถึงขั้นตอนที่ต้องส่องกล้องตรวจ อจ.ถามคุณได้คำตอบหรือยัง 55 จริงๆไม่เข้าใจนะ อจ.ถามทำไม แต่บอกว่าคงติดเชื้อราแบบไม่แพร่กระจาย อจ.บอกถ้าคุณติดแบบแพร่กระจายคุณตายไปนานแล้ว
แล้วอจ.ก็บอกให้เราลืมตาดูไปด้วยในขณะที่อจ.ใช้กล้องสำรวจไปในรูจมูก อจ.บอกจมูกคุณดูหายดีนี่ ไม่มีอาการของโรคนะ แล้วก็ถึงตอนมานั่งคุย อจ.บอก ถ้าคุณทรีทด้วยยาแล้วหาย คุณมีความจำเป็นอะไรที่จะต้องผ่าเข้าไปล้าง ไม่ต้องทำ ได้คำตอบแล้วนะ
เลยถามอจ.ไปว่า แล้วคนที่ต้องผ่าล้าง เพราะสาเหตุอะไร อจ.บอกเป็นแล้วเป็นอีก กินยาก็ไม่หายนั่นแหละ จำเป็นต้องทำ
ทีนี้ถ้าคุณจะมาผ่าล้าง ผมก็ต้องจับคุณไปทำ CT scan อีก ซึ่งรังสีสูงมากๆ ไม่ควรไปเสี่ยงกับมัน แล้วคุณไม่มีความจำเป็นต้องทำ
ฟังแล้ว โล่งอก เดินออกจากห้องหมอ บอกตัวเองว่าเกือบซวยแล้วไง คือเสียทั้งตังค์ (ที่อาจเบิกประกันไม่ได้ เพราะประกันบอกว่าเราเพิ่งทำแค่ 7 เดือน เหมือนไม่บอกความจริงหมดว่าเคยรักษาไซนัส) แล้วยังต้องมาเจ็บตัวโดยไม่จำเป็น กับหมอที่ถูกบังคับตามระบบรพ.เอกชนที่ต้องทำยอด นี่คือหมอไม่ได้รักษาเรา หมอกำลังทำการค้าใช่ไหม
จึงเปลี่ยนความรู้สึกเราเลยว่า ต่อไปนี้เป็นอะไร เราจะวิ่งไปหาหมอรพ.รัฐ ใช้คลีนิคพิเศษเอา เพราะอย่างน้อย เรากำลังเจอหมอที่รักษาคนไข้ จะใช้เครื่องมืออะไรก็ด้วยความเหมาะสม และจำเป็น
จากประสบการณ์นี้เลยมีความคิดเห็นอยากแชร์กับเพื่อนว่า
1 การไปหาหมอที่ไหน ถ้าเจออะไรที่กังวล ควรคุยแชร์ความเห็นกับเพื่อน เราจะได้ข้อคิดเห็นดีๆกลับมา และเพื่อนพร้อมที่จะช่วยเหลือเราเท่าที่เขาช่วยได้
2 ในกรณีที่ความรู้สึกของตัวเราไม่มั่นใจในวินิจฉัยของหมอ อย่ารีรอหรือขี้เกียจที่จะหา 2nd opinion เด็ดขาด
3 ในการทำประกัน ยืนยันกับตัวแทนให้แน่ชัด คุณต้องการข้อมูลอะไร คุณไปเอากับรพ.ที่เราใช้ประจำเลย เราไม่ได้ปกปิด แต่เมื่อคุณรับทำจะมาอ้างว่าโน่นนี่ ไม่รับเคลม และขอคืนเงินค่าประกัน หรือถ้าต่อประกัน จะไม่รับส่วนนี้ ควรจะบอกเราตั้งแต่แรก
หาตัวแทนที่ไว้ใจ และจะไฟท์ให้เราได้จริงๆ ถึงตกลงทำประกันสุขภาพ หรือเราพอใจกับข้อตกลงที่เขากับเราเข้าใจร่วมกัน
ถ้าไม่เจอคนขายประกันที่ดูแลแท้จริง Secure ตัวเองดีกว่า คือคงต้องลงทุนหาค่าใช้จ่ายรักษาตัวเองยามเจ็บ ดีกว่าจ่ายไปหลายปี แล้วมาบอกว่าไม่ประกันส่วนนั้น ส่วนนี้
หวังว่าการไปโรงพยาบาลครั้งนี้ของเรา จะให้ข้อมูลบางอย่างกับเพื่อนๆได้บ้าง สำคัญสุดหมั่นดูแล รักษาสุขภาพ กินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังตามชอบพอประมาณ ขอให้เพื่อนทุกคนอยู่ดีมีสุขจ้ะ
ความคิดเห็นล่าสุด