ลิขิตงาม
หมวยเยาวราชตัวจริงเล่าเรื่องอาแม่ ปลาทูเข่ง
ข้อคิดจากแม่ : ปลาทูเข่ง
สมัยเป็นเด็ก ใครได้ไปตลาดกับแม่จะดีใจมาก เพราะแม่ไม่ค่อยว่าง ทั้งทำงาน ทั้งเลี้ยงลูก ไหนจะทำกับข้าว ดูแลบ้านสารพัด ถ้าแม่พาไปตลาดแปลว่า อารมณ์ดีและไม่รีบ เราไม่ค่อยรู้หรอกว่าแม่มีเงินเยอะหรือน้อย อารามดีใจได้ไปกับแม่ ต่อมาเมื่อโตอีกนิด ช่างสังเกตอีกหน่อย จึงเห็นว่า แม่ซื้อไข่ครั้งละ 3-5 ฟองเท่านั้น หมู 5 บาท นานๆ จะซื้อ 10 บาท ผักค่อนข้างซื้อหลายอย่าง หลากหลายหน่อย แม่ค้าก็แถมให้พวกต้นหอม ผักชี แต่ที่แม่มักจะแวะอีกแห่ง คือ ซื้อปลาทูเข่ง เข่งละ 2 บาท ตัวใหญ่และสวยหน่อยให้คนกิน เข่งละบาท แม่ซื้อไปฝากเจ้าขาวของแม่
เราไม่รวย แม่จึงไม่เลี้ยงสัตว์ เพราะลำพังเลี้ยงลูกก็แย่แล้ว แต่เจ้าขาวนี่มาจากไหนไม่รู้ มันปวารณาตัวเป็นแมวของแม่ มาขออยู่ รักและภักดีกับแม่คนเดียวจวบจนวันสุดท้ายของมัน กับพวกเรามันคงรู้สึกว่าศักดิ์ฐานะเดียวกัน หรืออาจต่ำกว่ามันเล็กน้อย 555 สังเกตจากหน้าเชิดหยิ่ง และแววตาทระนง ยามเราเรียกมันมากินข้าว
ขาวมุดเข้ามาในบ้าน ตามคลอเคลียแม่ จนแม่อ่อนใจ ต้องเรียกมาคุย พามันไปที่ห้องน้ำ และบอกว่าอถ้าลื้ออึฉี่นอกห้องน้ำ อั๊วไม่เลี้ยงจริงๆ นะ ถ้าแมวพยักหน้าได้ คงทำแล้ว แต่ขาวทำยิ่งกว่า คือ อึฉี่ในห้องน้ำตลอดชีวิต ไม่ต้องให้แม่ตามเก็บ ตามซักผ้าหรือเช็ดที่ไหนเลย สอนครั้งเดียว จำได้ รู้เรื่อง ไม่เกเร
เหตุที่ชื่อขาว ก็เพราะตัวขาวตลอดไม่มีสีอื่นแซม ตาออกเขียวอมฟ้า จับหนูเก่ง บ้านเราไม่เคยมีหนูช่วงที่ขาวอยู่ ที่บ้านเคยเลี้ยงขาวคู่กับ Lucky ด้วย หมาพันธุ์ปักกิ่งที่มีคนให้มา ทั้งสองตัวอยู่ด้วยกันอย่างสันติ เพราะLucky รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ไม่เคยกล้าหือกับขาวเลย แม้จะตัวใหญ่กว่า ปัญหาอย่างเดียวที่ขาวมี คือ มันเลี้ยงลูกไม่เป็น ทำลูกตายไปหลายครอก ตอนหลังขาวแก่ตาย
ตลอดเวลาที่เลี้ยงแมว แม่มักให้วิ่งไปซื้อปลาทูเข่ง 2 บาท 1 เข่ง และ 1 บาท 1 เข่งเสมอ ไม่เคยลืมส่วนของขาวเลย แม่ใจดีแบบเงียบๆ เผื่อแผ่แมวหมา ไก่ นก ปลา ตัวอื่นๆ นอกจากขาว ล้วนแล้วแต่พี่ชายที่สรรหามาเลี้ยง ส่วนใหญ่ขอเพื่อนๆ มา สุดท้ายแม่ก็รับเลี้ยงต่อทุกตัว ไม่เคยทิ้งขว้าง
ทั้งบ้านไม่มีใครเป็นทาสแมว ทาสหมาแต่ก็เลี้ยงจนส่งขึ้นอีกฟากฝั่งหนึ่งเสมอ หมาตัวล่าสุดที่เลี้ยงก็ตายเมื่ออายุ 19 และคงเป็นตัวสุดท้ายแล้ว
แฮปปี้ หมาของทุกคน เคยป่วยหนักตอนอายุ 12 เป็นหลายโรค พยาธิในเส้นเลือด กระดูกหลังเสื่อม หัวใจ ไต ตาต้อ ต่อมลูกหมาก เราก็ดูแลต่อมาอีก 7 ปี หมอนิดหมอโอ๋ สัตวแพทย์แถวบ้าน ตลอดจนอาจารย์หมอของหมอสองสาว ช่วยเหลือดูแลด้วยดี บางทีโทรไปหมดจะปิดร้านแล้ว หมอก็รอ ดูแลกันจนสุดปลายจริงๆ คงเพราะเราได้บทเรียนปลาทูเข่งจากแม่นี่แหละ
หมวยเยาวราช ตัวจริงเล่าเรื่องอาแม่ตรุษจีนตอนที่ 2
ยังไม่ถึงชิวจับโหงว (วันที่ 15 หลังตรุษจีน) ยังถือว่าอยู่ในช่วงเฉลิมฉลอง เล่าเรื่องตรุษจีนต่อ ก็แล้วกัน
ย้อนหลังไปวันไหว้
เมื่อก่อนอาแม่ทำกับข้าวแบบ ต้มผัดแกงทอดในพริบตา ขึ้นโต๊ะที 10-12 อย่าง ทำเองทุกสิ่งทั้งต้มไก่ต้มเป็ด ขาหมูพะโล้ให้พ่อ พ่อชอบกิน ทำก๋วยเน็ก(คล้ายหอยจ้อแต่เป็นหมูสับผสมกุ้งห่อฟองเต้าหู้) ต้มแปะฉ่ายลูกชิ้นปลา ผัดหมี่ ต้มหน่อไม้จีน กระเพาะปลาน้ำแดง ปลิงทะเล(สองอย่างหลังอาเจ่กที่ร้านในเยาวราชให้วัตถุดิบมา) ทอดปลา ผัดผัก ฯ นึกๆ ดู อาแม่ก็สุดยอด ทั้งเตาแก๊ส เตาถ่านอีกสอง ไม่หยุด เราแอบสรุปว่า อาแม่น่าจะไฮเปอร์แน่ๆ จึงเก่งขนาดนี้
มาถึงยุคอาหมวย ย่อมตัดทอนรายละเอียดออกบ้าง แต่ในช่วงตรุษจีน คุณน้องซึ่งได้รับการถ่ายทอดวิทยายุทธ์ทั้งหมดของสำนักง่อไบ๊ เอ๊ย สำนักอาแม่ มักทำอาหารจานโปรดของอาแม่ คือ ต้มหน่อไม้จีนทุกปี อื่นๆ ก็สลับไป มีกระเพาะปลาบ้าง เป๋าฮื้อน้ำแดง ทอดปลาจาระเม็ด (ซึ่งไม่ใช่เต๋าเต้ยนะคะ ตัวนี้ในอ่าวค่ะ แต่จาระเม็ดเป็นปลาทะเล) ต้มผักเจสักหม้อ เผื่ออาม่าซึ่งเราไม่รู้จัก แต่อาแม่เล่าว่าอาม่ากินเจ อาม่าจึงควรได้กินของชอบของตนด้วย ทฤษฎีนี้อาแม่ใช้กับพวกเราด้วย ลูกทุกคนรู้สึกเป็นคนโปรด เพราะอาแม่ทำอาหารจานโปรดของลูกๆ ซึ่งบ้านนี้จู้จี้มาก กินไม่เหมือนกันเลย ในบ้านจึงมีจานหมูสำหรับอาเฮียกับอาซ้อ จานปลาสำหรับอาเจ้ ผักทั้งหลายสำหรับอาแม่ บางคนจู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาประกาศ กินเจอาทิตย์หนึ่ง (นอกเทศกาลกินเจ) บ่อยครั้งคุณแจ๋วประจำบ้านก็มีออเดอร์ขอกินโน่นนี่ ซึ่งอาแม่ก็ทำให้ เมื่อถึงเทศกาลไหว้บรรพบุรุษ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องคุยกันว่า ยามอยู่ ญาติผู้ใหญ่ชอบกินอะไร ยามไหว้ เขาจะได้กินจริงไหม ไม่รู้ แต่ที่บ้านถือว่า ทำให้ด้วยรักและคิดถึง ก็ต้องคำนึงถึงผู้รับเป็นสำคัญ
สำหรับหน่อไม้จีนต้ม มีเกร็ดเล่าว่า ตอนเด็กๆ อาแม่เห็นร้านอาหารจีนขายเหม่งซุ่ง มันหอมมาก หอมจับจิตจับใจ อาแม่ก็ทำงานเก็บเงิน ได้มา 1 ตังค์ ก็ถือไปขอซื้อ อาจ้ง (พ่อครัว)บอกว่า อาหมวย จานนี้แพงมาก เขาขายกัน 2 ตังค์นะ อาแม่เล่าว่าเศร้ามาก เพราะกว่าจะรวบรวมได้ 1 ตังค์ อาแม่ซึ่งเป็นเด็ก ต้องทำงานหนัก อาแม่ยืนกลืนน้ำลาย น้ำตาปริ่มๆ อาจ้งสงสารจึงบอก ลื้อมาช่วยอั๊วหั่นผัก หมดกาละมังนี้ อั๊วจะให้ลื้อกิน ทำไหวหรือเปล่า อาแม่บอกว่าดีใจมาก นั่งหั่นผัก แม้นานจริง เพราะกาละมังใหญ่มากสำหรับเด็กเล็กๆ แต่หน่อไม้จีนราดข้าวสวยร้อนๆ ชามนั้นอร่อยที่สุดในชีวิต
สำหรับคนเขียน การทำ การกินหน่อไม้จีนจึงเป็นไฮไลท์ของโต๊ะไหว้ที่เปี่ยมไปด้วยคำสอนและชีวิตของแม่
หลานๆ ก็มีจานไฮไลต์ หนูชอบกินหอยจ้อ ขอซื้อมาไหว้นะ ผมชอบซาละเปา ก็ซื้อมาแซม คิดว่าอีกไม่นาน บนโต๊ะอาจมีพิซซ่า สปาเกตตี้ ก็ไม่เป็นไร ขอให้รำลึกถึงอากงอาม่าด้วยกตัญญู สืบสานวัฒนธรรมกันต่อไป
หมวยเยาวราชตัวจริง เล่าเรื่องอาแม่ วันตรุษจีน ตอนที่ 1
เล่าเรื่องวันตรุษจีน
ส่วนใหญ่ชาวไทยก็จะรู้จักวันจ่าย วันไหว้และวันถือของคนจีน และพอจะรู้ว่าจะต้องมีการทำความสะอาดบ้านเรือนขนานใหญ่ก่อนหน้าวันต่างๆ เหล่านี้ น้อยคนนักจะรู้ว่า เรายังมีวันส่งเจ้าขึ้นสวรรค์และวันรับเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ ดังนั้นปฏิทินจีนจึงสำคัญมาก น่ำเอี้ยงจึงขายได้ตลอดกาล เพราะคนไทยเชื้อสายจีนต้องเปิดปฏิทินตรวจสอบก่อน
เอาเป็นว่าราว 10 -14 วันก่อนวันชิวอิกก็ต้องเริ่มดูปฏิทินกันแล้ว ปีนี้ตกวันที่ …กุมภาที่ผ่านมา ที่บ้านอาแม่บอกว่า ส่งเจ้าขึ้นสวรรค์ ท่านก็จะไปรายงานว่าบ้านเราประพฤติตนดีงามทุกสถานไหม ดูแลเจ้าในบ้านอย่างไร ดังนั้นเราต้องทำความสะอาดบ้าน (ไฉทุ้งใหญ่)ก่อน 1รอบ และทำความสะอาดกระถางธูป เปลี่ยนเมล็ดธัญพืช 5 อย่าง ใส่ลำไยอบแห้ง ส่าเหล้า ฯ ตามความเชื่อและประเพณี
หลังจากส่งเจ้าแล้ว หลังตรุษจีน ก็ต้องรับเจ้าจากสวรรค์ ปีนี้ตรงกับชิวสี่ 15 กุมภา ซึ่งก็ต้องพึ่งปฏิทินน่ำเอี้ยงอีก ปฏิทินนี้เคียงคู่บ้านเราแต่เด็กๆ ไม่เคยเห็นปฏิทินจีนอื่น จึงเหมือนกับโฆษณาให้ แต่เขาขายดีอยู่แล้วแหละ
สรุปก็คือ เป็นช่วงที่เจ้าขึ้นไปเฝ้าเง็กเซียนฮ่องเต้ สังสรรค์และพักร้อนนั่นเอง
วันจ่ายก็เพิ่งผ่านไป แต่ที่บ้าน อาแม่ต้องเตรียมหลายวัน ปกติจะจ่ายหลายวัน อาหมวย(คุณน้อง)ก็ทำตาม ยึดคติทุกๆ วัน คือวันจ่าย 555
ปีนี้วันไหว้คือ 31 มกราคม จะตั้งโต๊ะไหว้บรรพบุรุษสายกว่า เทศกาลอื่นๆ นิดนึง เพราะบ้านที่ติดถนนใหญ่ เขาจะไหว้ฮอเฮียตี๋ (หรือวิญญาณแถวๆ นั้น ที่สัญจรผ่านไปมา) บางทีขับรถจะเห็นเขาตั้งไหว้กับพื้น ก็คือ ฮอเฮียตี๋นี่แหละ ก็คือ เช้าไหว้เจ้า (แม้จะพักร้อนอยู่) สัก 10-11 โมงไหว้บรรพบุรุษ และบ่ายก็ตั้งอีกวงเผื่อแผ่ผู้อื่น แม้เพียงวิญญาณ
ช่วงนี้แหละ นาทีสำคัญ บางร้านยังให้ลูกจ้างเก็บกวาดยกสุดท้าย ให้เอี่ยมอ่อง แล้วจึงแจกซองคนงานทั้งหมด วันนี้ใครได้รับซองแดง แปลว่า เป็นแค่ลูกจ้าง วันรุ่งขึ้นจึงจะคิวเครือญาติค่ะ
พอชิวฉิก คือ วันที่ 7 นับจากวันตรุษจีนก็มีรายการกิน ฉิกเอี่ยฉ่าย (หรือผัก 7 อย่าง) ก็คงเป็นกุสโลบายให้พักกระเพาะจากอาหารหนัก ๆ หมูเห็ดเป็ดไก่เป็น อาหารเบาๆ บ้าง
พอถึงวันที่ 15 เทศกาลง่วนเซียวก็เริ่มขึ้น
สูตรเหล่านี้ คือของอาแม่ อาจไม่ตรงกับบ้านอื่น เพราะชาวจีนมีธรรมเนียมต่างๆ กันไป
แค่นี้ก่อนนะคะ
หมวยเยาวราชตัวจริงเล่าเรื่องอาแม่
วิธีคิดของอาแม่ : ยังพอช่วยไหว ก็ช่วยกันไปวิธีคิดของอาแม่ : ยังพอช่วยไหว ก็ช่วยกันไป
อาแม่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวจำเป็น เพราะอาป๊าเสียตั้งแต่ลูกๆ ยังเล็กๆ แต่อาแม่ก็เป็นคนใจดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เสมอ ประกอบกับอาแม่เคยสรุปว่า สมัยก่อนเงินนิดเดียว ทำอะไรได้ตั้งเยอะ เลี้ยงลูกก็ใช้เงินไม่เยอะเท่าเดี่ยวนี้ เดี๋ยวนี้ของแม่ คือ สมัยหลานๆ อาแม่บอก ดูสิ ลื้อเรียนหนังสือทึ่จุฬา ค่าเทอมๆ ละ 1,075 บาท (55 อาแม่ช่างจำนะ) หลานลื้อค่าเรียนเทอมละ 20,000 กว่าบาท อีเรียนเทอมนึง ลื้อเรียนได้จบ 2รอบ นี่มัน 20 เท่าเลยนะ จริงจ๊ะ อาแม่ เรื่องตัวเลข เศรษฐกิจ อย่าไปเถียง ไม่มีวันชนะ
อาแม่ใจดีกับเพื่อนบ้าน อาหารที่ทำ เช่น แกงไก่ น้ำพริกเผา ต้มเหม่งซุ่งฯ มักให้ลูกๆ ยกไปฝากอาอึ้ม อาอี๊ที่รักๆ กันบ่อยๆ ยกกันไปยกกันมา เป็นอาจินต์ ยังแอบแซว ลูกจะแต่งตั้งให้เป็นนางงามมิตรภาพละ ก็จะได้ค้อนมาวงนึง พร้อมกับเสียงหัวเราะเบาๆ
อาแม่ใจดีกับเพื่อนๆ ที่ทำงานของลูก อาแม่มักบอก ลื้อมันโถวติ๊ก (ตรงเป็นขวานผ่าซาก) ไม่น่ารัก อาแม่ต้องทำคะแนนให้ลื้อ ว่าแล้วอาหาร ขนมก็ตามไปที่ที่ทำงาน บ่อยครั้ง พี่ๆ น้องๆ จะบอกว่า เชิญคุณแม่มาเป็นเพื่อนร่วมงานดีไหม อาหารอาแม่อร่อยมาก 555
ปีๆ ภัยหนาว ภัยแล้ง น้ำท่วม อาแม่ก็มักให้เราไปจัดการเรื่องบริจาค ซื้อผ้าห่ม ข้าวสารอาหารแห้ง ทำตามกำลังที่มี แม้จะเล็กน้อยก็ควรทำ
เมื่อพระโควิโทมาเยือน อาแม่จากไปนานแล้ว แต่เราก็รักษาธรรมเนียมปฏิบัติและคำสอนของอาแม่ ถ้าเรายังพอมีก็ช่วยๆ กันไป
ที่บ้าน หลานชายกับเพื่อนซี้(ที่ต้องเลี้ยงคนงาน) เกิดความคิดทำอาหารไปแจกบุคลากรด่านหน้า เราก็ฝากเขาไปจัดการมาตั้งแต่ ปี 2020 ทำเป็นระยะๆ ไม่ค่อยได้ถ่ายรูป เพราะจะบอกหลานว่า จ้างเขาไปส่งนะ ระวังตัวมากๆ อย่าอ้อยอิ่งถ่ายรูป ต่อมา กิ่งแก้วไฟไหม้ ก็ทำข้าวกล่องไปแจก ส่วนคุณพี่สาวก็ซื้อข้าวสารอาหารแห้งไปมูลนิธิเด็กอ่อนแถวบ้านหลายครั้ง ตู้ปันสุขอยู่ติดตลาด หลายคนลืมแล้ว แต่คุณน้องเชฟประจำบ้านผ่านบ่อยมาก พอถามว่าตู้ร้างยัง คุณน้องบอกคนทำน้อยมาก แต่น้องก็ซื้อราดหน้า บะจ่าง อาหารถุง ขนมใส่เป็นระยะๆ มีคนมารับไหม มีสิ เดินยังไม่ทันพ้นตู้เลย ก็มีคนมาหยิบละ คนให้ตอบพลางยิ้มปลื้มใจ แอบคิด มิน่าน้องทำอาหารอร่อย ชอบทำบุญด้วยอาหารนี่เอง
โควิดมาเยือน เราทำอะไรได้บ้าง สิ่งที่เราทำเล็กน้อยมาก แต่เราไม่เรียกร้องว่าคนอื่นต้องทำอะไร ที่บ้านรับคำสอนและวิธีของอาแม่ คือ เริ่มที่ใกล้ตัวก่อน เริ่มที่แถวบ้านก่อน ทุกคนในบ้านจึงไม่มีใครงอแง ไปฉีดวัคซีนเข็มหนึ่งเข็มสองครบ และพอจะบริจาคสมทบอะไรได้ ก็ช่วยกันไป
หมวยเยาวราช ตัวจริงเล่าเรื่องอาแม่
เนื่องในพระราชพิธีวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จึงอยากจะเล่าเรื่องในหลวงผ่านสายตาของหญิงจีนคนหนึ่ง
ในหลวงในดวงใจ
จากใจหญิงจีนคนหนึ่ง
ปี 2526
ลูก: แม่ๆ น้ำท่วมใหญ่แถวราม จะมาถึงบ้านเราไหม
แม่: ไม่รู้ แต่เดี๋ยวในหลวงก็มาช่วยเรา
ปี 2535
ลูก: แม่ๆ เขาประท้วงกันใหญ่ละ แม่กลัวไหม
แม่: อั๊วไม่กลัว
ลูก : ทำไมอ่ะ แม่ ระดับพลเอกกับพลตรีเลยนะแม่
แม่: อาอ๊วงเตี่ยฉุกไหล่เซียหู (เดี๋ยวในหลวงก็ต้องออกมาช่วยเรา)
ลูก: แหม แม่ชัวร์ตลอด
แม่: ใช่สิ ลื้อคอยดู
ที่จริงบทสนทนา แม่-ลูก เป็นภาษาจีนนะคะ เมื่อก่อนดิฉันพูดภาษาจีนพอได้ หรือแม่พูดจีน เราตอบไทยปนฝรั่งบ้าง อาแม่ก็ฝึก yes no ok sure ไปจากลูกๆ
ปี 2538
ลูก: แม่ น้ำมาอีกละ ปีนี้ว่าจะหนักมาก
แม่: กรุงเทพก็ยังงี้แหละ อยู่ติดแม่น้ำ ก็ต้องท่วม แต่เดี๋ยวอาอ๊วงก็ช่วยเรา
แม่เชื่อมั่นตลอด
ปี 2540-2541
ลูก: แม่แย่ละ เศรษฐกิจแย่ละ เขาว่าต้มยำกุ้ง แต่กินไม่ได้นะ (ลูกๆ ช่วยกันอธิบายสถานการณ์ให้แม่ฟัง)
แม่: เราประหยัดๆ มาตลอด คงไม่เป็นไร
และประโยคเด็ดของแม่ก็ตามมา ว่าในหลวงจะทรงช่วยลูกๆ ของท่านได้ และจริงดังแม่เชื่อมั่นเสมอมา ช่วงนั้นก็ต้องอธิบายเศรษฐกิจพอเพียงให้แม่ฟัง แม่ก็จะยิ้มปลาบปลื้มพลางบอกว่าเห็นไหม ใครๆ มาแล้วก็ไป แต่อาอ๊วงอยู่กับ “หนั่งมิ้ง” (ประชาชนหรือพสกนิกร)ไม่เคยทิ้งไปไหน เดี๋ยวอาอ๊วงสอน ทุกคนก็มีกำลังใจ แก้ไขปัญหาได้เองแหละ
ปี 2554
แม่เริ่มป่วยหนัก ติดตามข่าวน้ำท่วมหนักในทีวี แม่มักบอกว่านี่ถ้าในหลวงยังแข็งแรง น้ำไม่ท่วมหนักเท่านี้หรอก
ภาษาอาจไม่เหมาะสม ไม่ได้ใช้ราชาศัพท์ แต่อยากเล่าความรักความศรัทธาของหญิงจีนคนหนึ่งที่ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณตลอดชีวิต ความรักความศรัทธานี้แม่มีต่อทุกพระองค์ แต่แม่จะพูดถึง อาอ๊วง อาอ่วงโหว (สมเด็จพระราชินีนาถ)บ่อยๆ
#เล่าเรื่องอาแม่
หมวยเยาวราช…ตัวจริง
วันหนึ่ง เมื่อเริ่มเขียนเกี่ยวกับอาแม่ ทำให้รำลึกถึงความหลังหลายสิ่งหลายอย่าง สิ่งละอันพันละน้อย จึงอยากจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของลูกคนจีนที่โตมาในเยาวราช เอามาแบ่งปันกับเพื่อน เผื่อใครมีประสบการณ์ร่วมหรือต่างมาเล่าสู่กันฟัง ก่อนความทรงจำจะเลือนหาย และจะได้เก็บไว้อ่านตอนแก่กว่านี้ ตั้งใจไว้ว่าจะแบ่งเป็น 3 ตอน เกี่ยวกับการเรียน เกี่ยวกับคำสอนของแม่ในการดำเนินชีวิต และวัฒนธรรมจีน
หวังว่าเพื่อนๆ คงไม่เบื่อเสียก่อนนะ
ความหลังครั้งเผยอิง 1
ชาวเยาวราชไม่มีใครไม่รู้จักโรงเรียนเผยอิง หรือ “ป๋วยเอ็งฮักหาว” ตี๋หมวยยุคนั้น ถ้าต้องการเรียนภาษาจีนตั้งแต่ ป.1 ต้องมาเริ่มที่โรงเรียนแห่งนี้ที่มีศาลเจ้าจีนเหล่าปุงเถ่ากงตั้งอยู่ โรงเรียนดังไหม ไม่ทราบ รู้แต่ว่าเด็กๆ ย่านนั้นจะเข้าเรียนที่นี่ มารู้ภายหลังว่า มีคนระดับเจ้าสัวของเมืองไทยจบจากที่นี่หลายคน
โรงเรียนสวยมาก แต่คงต้องให้เข้าไปค้นดูในเน็ตเองค่ะ เพราะติดลิขสิทธิ์ทั้งนั้น ส่วนศาลเจ้าปึงเถ่ากงก็งามมากเช่นกัน
จำ ป.1-2 ไม่ได้เลย เรียนไปอย่างอึนๆ มึนๆ มีการสอนภาษาจีนกลาง จีนแต้จิ๋วและภาษาไทย จำได้เพียงว่าการบ้านมากมาย ทั้งคัดไทย เลข เขียนพู่กันจีน เขียนบันทึกประจำวันหรือ “หยิกกี่” เป็นภาษาจีน โถถัง เด็กสมัยนั้นจะมีอะไรให้เขียนมากมาย ชีวิตก็กิน เรียน ทำการบ้าน นอน วนเวียนเช่นนี้ ลำบากใจจริงๆ ต้องเขียนบันทึกสัปดาห์ละ 2-3 วันไปส่งครูให้ได้
ช่วงปิดเทอม คุณครูไม่เคยปล่อยให้เราว่างหรือเหงา มีการบ้านเป็นเล่มๆ ให้เราทำ ยิ่งกว่านั้น บางวันจะมีคุณครูดอดไปเยี่ยมบ้าน จำได้ว่าครั้งหนึ่ง คุณครูชาย-หญิงมาหาอาแม่ และถามว่าลูกๆ อยู่บ้านมีความประพฤติอย่างไร ช่วยเหลืองานบ้านไหม ซึ่งอาแม่ก็บรรยายความตามจริง อา…พี่ชายคนโต เล่นทั้งวัน อา…ลูกคนที่สาม (คือดิฉันเอง) ไม่ค่อยขยัน ไม่สั่ง อีก็ไม่ทำ 555 อาแม่ประจานลูกตรงๆ ไปตรงมามาก ส่วนลูกสาวคนโตพึ่งได้ ช่วยงานบ้าน ขยัน ดูแลน้องๆ นี่ดูสิการบ้านเสร็จแล้ว แต่ลูกคนที่สามเขียนไปได้สองหน้าก็เลิก ต้องยอมรับว่า ระบบดูแลนักเรียนของเขาดีจริงๆ ค่ะ คุณครูมาเยี่ยมทุกปิดเทอม
ช่วงเปิดเทอม มีระบบทำเวร คือทำความสะอาดห้อง และมีสารวัตรนักเรียนซึ่งจะผูกผ้าพันคอคล้ายลูกเสือ แต่ผ้าสีขาวสลับน้ำเงิน ถ้าจำไม่ผิด สารวัตรนักเรียนจะคอยเดินตรวจก่อนเข้าเรียนและหลังเลิกเรียน ว่าทิ้งขยะไหม กวาดห้องสะอาดไหม คุยกันเสียงดังไหม ถ้าห้องไหนคุยเสียงดังก็จะได้รูปอีกามาประจาน 1 สัปดาห์ ห้องไหนทำเวรไม่สะอาด ก็ได้รูปหมูสกปรกมาครอบครอง 1 สัปดาห์ ห้ามถามว่าห้องสะอาดดีงามได้อะไร เพราะอยู่มา 5 ปี (เขามีชั้น ป.1 เล็กด้วยนะ คล้ายๆ อนุบาล) จำได้ว่าห้องของตัวเอง ได้มาแต่อีกาหรือหมูสลับกันไป โดยเฉพาะช่วง ป.3 ได้จนครูประจำชั้นแทบร้องไห้ ช่วงหลังๆ สงสารครูประจำชั้น ก็พยายามเพลาเสียงและขยันกันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม พอขึ้น ป.4 เราได้คุณครูรังสิมาเป็นครูประจำชั้น คุณครูดุมาก แต่สอนหนังสือเก่งมาก และดูแลนักเรียนดี คงเพราะเหตุนี้ จู่ๆ จากเด็กตกๆ หล่นๆ ห้องนี้กลายเป็นห้องเด็กเรียนดี และสอบเข้าโรงเรียนดีๆ กันทั้งห้อง เมื่อไม่นานมานี้ได้หวนกลับไปเจอคนที่เรียน ป. 2 ด้วยกัน อาเฮีย (แกโตกว่าราวสองปี) จากเสี่ยน้อย อาเฮียกลายเป็นเถ้าแก่สืบต่อกิจการของทางบ้านแล้ว อาเฮียยังบอกว่า อ๋อ คุณครู…ที่ดุๆ ยังอยู่นะ ยังเดินผ่านหน้าร้านบ้าง จึงฝากความรำลึกถึง หากเจอคุณครูอีก
โรงเรียนนี้ยังมีการประกวดคัดลายมือด้วยพู่กันจีน ให้ทายว่าดิฉันได้รางวัลไหม ไม่เลยค่ะ ลายมือไม่สวยจริงๆ พี่สาวจะได้ติดบอร์ดบริเวณที่ทานอาหารกลางวันบ่อยมาก จำได้ว่าไปยืนดูบ่อยๆ ด้วยความภูมิใจ คุณพี่ได้รับเลือกเล่านิทานจีนด้วย และแน่นอน เป็นสารวัตรนักเรียนที่ไม่เคยปรานีห้องน้องสาวแม้แต่น้อย
ความหลังครั้งเผยอิง 2
วีรกรรมวีรเวร โดนตีทั้งห้อง ของกิน หมาหอนฯ
โดนตีทั้งห้อง แน่นอน ก็ต้องตอน ป. 3 น่ะสิ ห้องที่เรียนอยู่นั้น เยื้องกับร้านขายหอยทอดชื่อดัง สำหรับดิฉันจัดเป็นร้านอันดับหนึ่ง และยังมีร้านอันดับสองอีกแห่งหนึ่งอยู่แถวภัตตาคารจีนย่านเทียนกัวเทียน แต่ ณ ร้านอันดับหนี่งนี้แหละที่มีวาสนาได้ชิมบ่อยหน่อย เหตุเพราะอยู่ใกล้โรงเรียน
วันดีคืนดี เพื่อนนักเรียนชายร่วมห้องก็เกิดอยากพิสูจน์ความแม่นยำ เอาชอล์กมาหักครึ่ง แล้วผลัดกันปาลงไปในกระทะหอยทอด ผลัดกันปาอยู่นาน จนอาอึ้มทนไม่ไหว วิ่งมาฟ้องคุณครูที่โรงเรียน ผลก็คือ โดนตีทั้งห้อง แต่ก็ไม่ได้ทำให้โกรธเคืองอะไรหนักหนา ตีเสร็จ เมื่อได้โอกาสเราก็ลืมเรื่องถูกตีถูกดุ และไปกินหอยทอดอย่างสบายใจ วันเสาร์เรียนแค่ครึ่งวัน วันไหนอาเหล่าอึ้มที่อาแม่ส่งมารับอารมณ์ดี มีตังค์เหลือ ก็จะพาไปกินหอยนางรมทอด ไม่เคยได้กินเต็มจานเพราะจัดเป็นอาหารราคาแพง อาเหล่าอึ้มแบ่งให้กินนิดๆ หน่อยๆ ก็ดีใจจะแย่ หอยนางรมทอดที่สลักแน่นในความทรงจำ คือ แป้งจะต้องกรอบนอกนุ่มใน เวลาทอดแป้งต้องมีเทคนิคเอียงกระทะไปมา อาแปะหรืออาอึ้มคนทอดจะไม่ทำมากกว่า 2-3 จานต่อครั้ง ลูกค้านั่งคอยกันอย่างไม่ย่อท้อ ส่วนหอยนางรมก็ต้องใช้แป้งที่เหนียวกว่ามาผัดกับต้นหอม แล้วราดบนแป้งที่ทอดเตรียมไว้ เครื่องปรุงมีให้เลือก คือน้ำปลาหรือน้ำพริกศรีราชา บางครั้งอาเหล่าอึ้มก็จะสั่ง “ซังเพ็ง” คือ หอยคู่ หมายถึงหอยแมงภู่ทอดแล้วราดด้วยหอยนางรม จานนี้คือหรูหราที่สุดในวัยเด็กละ รู้สึกจะจำหอยทอดได้มากกว่าห้องเรียน 555 ภายหลังได้ยินว่าลูกหลานเขากลายเป็นเจ้าสัวคนหนึ่งของประเทศไทย ร้านหอยทอดก็ปิดไป ทิ้งไว้ในความทรงจำครั้งยังเยาว์
ของกินที่ชอบมากอีกอย่างหนึ่ง คือ ขนมน้ำตาลปั้นสูบลมเป็นรูปต่างๆ ลิงบ้าง เสือบ้าง มังกรก็มี แต่ชอบดูนะ ไม่มีวาสนาจะกิน นานๆ จะมีคนมาสั่งอาแปะทำรูปสัตว์สวยๆ ถึงไม่ได้กิน ก็ขอให้ได้ยืนดู ไม่เคยได้กินเพราะราคาแพงมาก สำหรับเด็กสมัยนั้น รูปสัตว์ง่ายๆ ก็อาจจะ 3-5 บาท อาเหล่าอึ้มที่มารับก็จะเอ็ดทุกครั้ง อยากกินทำไมลื้อไม่เก็บเงินซื้อละ แม่ให้ตังค์ลื้อ 2 บาท ลื้อเก็บทั้งอาทิตย์ ลื้ออยากได้เสือ ได้มังกร ก็ได้นะ จริงๆ มังกรน่าจะ 20 บาท ไม่กล้าบอกอาเหล่าอึ้มว่า ตังค์อยู่ในกระเป๋าเรียน แต่กลายเป็นนิทานหมดแล้ว กลัวโดนอาเหล่าอึ้มด่า คนจีนสมัยก่อนไม่ชอบให้อ่านนิทานนิยาย เขามองว่าเสียเวลาอ่านหนังสือ เสียเวลาทำงาน
ของกินอีกอย่างที่ชอบมาก คือ ข้าวหมูแดง เด็กๆ กินข้าวหมูแดงที่ตรอกแปลงนามทุกวันเสาร์ ก่อนไปเรียน แม่จะพาไปกิน รู้สึกว่าอร่อยมาก เพราะเป็นช่วงที่เราได้อยู่กับแม่สองต่อสอง พี่น้องเขาย้ายไปเรียนโรงเรียนอื่น ไม่มีเรียนวันเสาร์ ข้าวหมูแดงอีกเจ้าที่อร่อยล้ำตั้งอยู่ที่ตรอกเท็กซัส ไม่ไกลมาก ตรงข้ามกันมีก๋วยเตี๋ยวหลอดที่เส้นใส่กุ้งแห้งแดงๆ แถวเยาวราชยังมีร้านก๋วยเตี๋ยวเป็ดอร่อยๆ อีกร้านหนึ่ง น่าจะหายไปแล้ว อยู่ในซอยลึกลับพอควร ก่อนถึงวงเวียนโอเดี้ยน หน้าปากซอยมีคนขายขนมเต้าทึง ก็อร่อยมากอีกเหมือนกัน ส่วนร้านก๋วยจับเจ้าเก่าแก่นั้น มักไปช่วยอาแจ้แกะแผ่นก๋วยจับบ่อยๆ
มาจะกล่าวบทถึงอาโกวผู้น่ารัก ผู้มีคุณุปการ อาโกวเป็นเพื่อนสนิทของแม่ ที่ไม่ใช่ญาติแต่ก็เหมือนญาติ อาโกวผู้สอนให้หลงรักขนมไทยๆ ช่วงบ่ายๆ เย็นๆ แม่มักไม่ว่างดูแลลูกๆ แต่อาโกวซึ่งแก่กว่าแม่หลายปี ลูกโตทำงานแล้ว จึงมักพาดิฉันไปซื้อขนมไทยๆ จากคุณยายคนหนึ่งในตลาด คุณยายห่อขนมทุกอย่างด้วยใบตอง ขนมหอมมาก ทั้งขนมชั้น เปียกปูน ขี้หนู ถั่วแปบ ขนมถ้วยก็จะบรรจงแกะใส่กระทงใบตอง อาโกวจะอนุญาตให้เลือก 1 ห่อทุกครั้ง กินเสร็จแล้ว ก็นั่งทำการบ้านจนกว่าแม่จะเสร็จงาน และพากลับบ้าน บางครั้งแม่ยุ่งมาก งานหนัก อาโกวก็จะให้ค้างที่บ้าน ซึ่งก็ดี เพราะอยู่ใกล้โรงเรียนเผยอิงมาก แต่ว่าเหตุใดจึงให้เรานอนคนเดียวบนชั้น 4 ขอถาม ที่บ้านนี้ชอบปลูกต้นไม้ และปลูกได้งอกงาม โดยเฉพาะกล้วยไม้กับต้นเดฟ เวลามองออกไปดึกๆ น่ากลัวมาก ขอบอก ต้นเดฟ จะส่ายไปมาเบาตามสายลม บรื้อววว์ แถมด้วยเสียงละครวิทยุของอาแปะร้านขายก๋วยจั๊บ โฮ่งๆ ฮู้ๆๆๆ พี่มากขาาา แค่ฟังก็อาจจับไข้ได้ ทางออกเดียว คือ คลุมโปงและรีบหลับให้เร็วที่สุด
บทเรียนจากรองเท้าข้างเดียว
สมัยยังเป็นเด็ก เคยได้รับโจทย์ยากมากเลยสำหรับเด็ก ป. 3 หรือ ป. 4 นั่นคือ ทำรองเท้าจากกระดาษแข็ง สาเหตุที่ยาก เพราะเป็นคนไม่มีฝีมือด้านงานศิลป์เลย ไม่ว่าจะร้อยพวงมาลัย ทำกับข้าว เลื่อยกะลา ตัดเสื้อ หนักสุดคือ ดุนหนัง ซึ่งมาเรียนในช่วงประถม 5-7 สมัยก่อนโรงเรียนก็ช่างสอนให้เรียนทุกอย่าง ตอนเรียนก็ทุกข์ทน แต่ต่อมาใช้ประโยชน์ได้นะ อย่างน้อยไปเรียนเมืองนอกก็หุงข้าวเป็น ติดกระดุมเป็น สอยเสื้อได้
แต่งานแรกที่ยังจำได้ไม่รู้ลืมคือ เย็บรองเท้า นอกจากจะเป็นคนเกลียดงานศิลปะแล้ว ยังเป็นคนขี้เบื่อ ทำเสร็จไปหนึ่งข้าง ก็ทำสายตาอ้อนๆ ไปยังตั่วแจ้ “ช่วยหน่อยสิ นะ นะ น่า น้า” พี่สาวก็บอกว่า ทำน่ะทำให้ได้ แต่ถ้าแม่รู้ โดนดุแน่
ตกเย็นแม่กลับมา ราวกับมีญานหยั่งรู้ ขอดูการบ้านก่อนเลย ทำไมรองเท้าสองข้างจึงต่างกันราวฟ้ากับดิน แน่นอน การโกหกนั้น อาจทำให้แม่เปิดศาลไคฟงได้ จึงรับสารภาพแต่โดยดี แม่เลาะรองเท้าข้างงามๆ และนั่งคุมให้ทำใหม่ น้ำตารินเลยแหละ เพราะการทำงานจากที่เลาะออกมา จะยากและออกมาแย่ขนาดไหน คงพอนึกภาพออก ระหว่างนั้น แม่ก็อบรมสั่งสอนว่า ทำงานที่ได้มอบหมายมา ต้องทำให้เสร็จด้วยตนเอง แม้เราจะพยายามบอกอ่อยๆ ว่า ก็ทำไม่สวย อยากได้งานสวยๆ ไปส่งครู แม่ก็บอกว่า ไม่ได้ ถึงจะทำไม่สวย ก็ควรภูมิใจถ้าเราเพียรทำจนสำเร็จ ถ้าไม่หัดทำทุกสิ่งด้วยตนเอง เอาแต่พึ่งพาคนอื่น จะไม่เจริญ
ไม่รู้ว่าทำไม กลัวคำว่าไม่เจริญของแม่มาก มีความเชื่อตลอดว่า วาจาของแม่ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าแม่ชมหรือให้พร จะเป็นดังแม่กล่าว ตั้งแต่นั้นมา ทำสิ่งใดไม่ว่าจะยากง่ายแค่ไหน ก็จะเพียรทำจนเสร็จ ขอบคุณรองเท้าข้างนั้น ขอบคุณแม่ที่ปลูกฝังให้ลูกเป็นเช่นนี้ งานยากๆ อย่างดอนกิโฆเต้ ก็สำเร็จด้วยคำสอนของแม่
ถึงคุณนายแม่ แม่คงขำ จำได้กระทั่งเรื่องรองเท้า
แม่คนนี้ไม่ได้เรียน แต่ทำให้ลูกและเพื่อนๆ ของลูกจบปริญญาเอก
แม่เล่าว่าไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะที่บ้านไม่มีใครเป็นแรงงานได้ นอกจากแม่ แม่จึงถูกส่งไปดูคนแก่ตั้งแต่ 8 ขวบ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเด็ก 8 ขวบทำงานอะไรได้บ้าง แม่จำได้แต่ว่าพอสิ้นสัปดาห์ก็เอาเงิน 3 ตังค์กลับมาบ้าน (สามตังค์ คือเท่าไหร่ก็ไม่ทราบ แม่พูดว่า “ซาไก่ตัง” แม่อาจไม่รู้ว่าสามเหรียญที่แม่กำกลับมาให้น้ามีมูลค่าเท่าไหร่) ต่อมา โตขึ้นอีกหน่อย ก็เริ่มขายผักในตลาด พอโปลิบมาไล่ให้ไปเรียน แม่ก็คว้าผ้าถุงมาสวมทับกางเกง แล้วบอกว่ากำลังจะไปจ้า พอคล้อยหลัง แม่ก็จัดผัก ส่งผักตามภัตตาคารจีน เอาเถิดเจ้าล่อกับโปลิบหลายครั้ง
เคยถามแม่ว่า ไม่อยากเรียนหนังสือบ้างหรือ แม่บอกว่าอยากสิ แต่ไม่มีใครทำงานได้ อาม่าก็ค้าขายไม่เป็น (ทั้งอากงอาม่าที่จริงแล้วมีศักดิ์เป็นน้าและน้าเขย) ส่วนลูกของอากงอาม่าไปเรียน แม่จึงเป็นกำลังหลักช่วยอากงขายของตั้งแต่เล็กๆ ครูสอนภาษาไทยของแม่คือ ละครวิทยุ เปิดไป ฟังไป ทำงานไป ส่วนภาษาจีนก็ครูพักลักจำเอา แม่จึงบอกเสมอว่า ลูกอยากเรียนสูงแค่ไหน แม่จะส่งจนสุดความสามารถ โชคดี สมัยก่อนค่าเรียนไม่แพง ความฝันของแม่จึงสำเร็จได้ไม่ยากนัก แต่ก็ต้องเปียแชร์ ส่งแชร์กันหลายยก เวลาลูกไปเรียนเมืองนอก ที่บ้านจึงมีทั้งคนจบตรี โท เอกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในไทยและต่างประเทศ จนถึงชั้นหลาน อาแม่ซึ่งกลายเป็นอาม่าก็พร่ำสอนว่า ลื้อจะอยากทำอะไรก็ตาม อาม่าไม่ว่า แต่ต้องเรียนหนังสือก่อน แล้วค่อยตัดสินใจทีหลัง
ตอนเรียน ป.เอก ดิฉันเรียนเต็มรูป ต่างจากปัจจุบันที่ จบ ป.โท มีหัวข้อวิทยานิพนธ์ ก็เริ่มเขียนงานได้เลย สมัยที่ไปเรียน ป.เอก หลักสูตรยังเต็มพิกัด คือ เข้าคอร์สเวิร์ค 1 ปี ทำสาระนิพนธ์ อีก 1-2 ปี แล้วจึงทำวิทยานิพนธ์ ซึ่งจะจวนเจียนมากสำหรับการได้รับทุนจาก กพ. คือเราอาจมีเวลาแค่ 2ปีกว่าๆ ในการเขียนธีซิส
ช่วงที่ทุกข์ใจ คือ เหลืออีก 2 ปีครึ่ง จู่ๆ ก็ประสบปัญหาต้องเปลี่ยนอาจารย์ที่ปรึกษา เปลี่ยนหัวข้อ ทำให้ไม่อาจดัดแปลงให้สาระนิพนธ์เป็นส่วนหนึ่งของวิทยานิพนธ์ได้ เท่ากับต้องเริ่มใหม่หมด ค้นคว้าใหม่ จึงโทรมารำพันกับแม่ว่า แย่แล้ว ตายแน่ ทำไม่ทันหรอก สายวรรณคดี ครูขอให้เขียนขั้นต่ำ 400-500 หน้าด้วย (ไม่รู้จะชั่งกิโลกันหรือไง)
แม่ก็ฟังๆ แล้วสรุปว่า 500 หน้า 2 ปีครึ่ง ง่ายๆ นะลูก ทำเสร็จแน่นอน ลูกเขียนแค่วันละหน้า ปีหนึ่ง 365 วัน ปีหนึ่งก็ 300 หน้า 2 ปี ก็ 600 หน้าแล้ว
สุดท้าย ดิฉันก็ปิดเล่มไปที่ 600 หน้าดังแม่ให้พร
ดิฉันยังแซวแม่ แม่คิดเลขผิดแล้ว ปีหนึ่งมี 365 วันนะ แม่หัวเราะ ก็อั๊วให้ลื้อพักไง หยุดวันอาทิตย์ 52 วัน อีก 10 กว่าวันที่เหลือ อั๊วให้ลื้อไปเที่ยวพักผ่อน คนเราอ่ะนะ เอาแต่ทำงานไม่ได้ ต้องคลายเครียดบ้าง
แม้ว่าตารางเรียนที่แม่มอบให้อาจเป็นตารางตลกๆ เพราะที่จริงเราต้องอ่าน ต้องค้น วิเคราะห์ก่อนลงมือเขียน แต่ทำให้ดิฉันเห็นทางสว่างดุจไฟในมือแม่ส่องนำทางตลอดระยะเวลา 2 ปีกว่านั้น ดิฉันเขียนธีซิสจบเป็นคนที่สองของเพื่อนในรุ่นซึ่งเป็นชาวสเปนและอเมริกาใต้ ใช้ภาษาสเปนเป็นภาษาแม่ จบเร็วในสายตาเพื่อนๆ จนขอสัมภาษณ์ เพื่อนบางคนลงมือก่อนด้วยซ้ำ ยังเตาะแตะอยู่ จึงเล่าถ้อยคำง่ายๆ ของแม่ผู้ไม่รู้หนังสือให้ฟัง เพื่อนๆ อึ้งและบอกว่า แม่เธอฉลาดหลักแหลมจริงๆ และขอยืมถ้อยคำไปพิมพ์ติดฝาผนังเตือนใจตน จนทะยอยเรียนจบต่อๆ มา
แม่ส่งลูกถึงฝั่งและส่งอีกหลายๆ คน แบบนี้ชาติหน้า แม่ได้เรียนสูงๆ ดังใจปรารถนาแน่นอน
อาแม่กับเครื่องราชฯ
เมื่ออาแม่ป่วยและต้องอยู่แต่ในห้องนอน ดิฉันไม่ค่อยมีความสามารถอะไรในการดูแลคนป่วยนัก เพราะไม่ค่อยละเอียดอ่อน อ่านใจใครไม่ค่อยออก อาศัยแต่ว่าช่างคุย ชอบรื้อฟื้นเรื่องเก่ามาทบทวนกับแม่ โดยมากก็เน้นเรื่องทำบุญ สร้างวัด ฯ ที่แม่ชอบทำ จะได้ให้แม่ชื่นใจเป็นแรงบุญหนุนนำในภพหน้าต่อไป
ความยากอยู่ที่ต้องพูดเสียงในฟิล์ม เพราะคนแก่เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย ศักยภาพการพูดภาษาไทย (ภาษาต่างประเทศสำหรับแม่) จะหายไป สังเกตได้จากแม่เหนื่อยและหงุดหงิด ไม่อยากคุย แต่ถ้าพูดภาษาจีนจะเสียงใสและคุยคล่องขึ้นมาทันควัน เป็นหน้าที่ของลูกผู้ใช้ภาษาสเปนเป็นภาษาที่สอง อังกฤษเป็นภาษาที่สาม ต้องเคาะสนิมภาษาจีนมาแต้จิ๋วกับแม่ แม่ก็ขำโครงสร้างและศัพท์แปลกๆ ของลูก บางทีก็มีบ่น “ลื้ออ่ะ ตึ่งหนั่งเกี้ยโบ่ยต๊าตึ่ง หนั่งอ่วยเหลี่ยว” (ลูกคนจีนพูดภาษาจีนไม่ได้แล้ว 555) จู่ๆ คุยอยู่ดีๆ แม่ถามขึ้นมาว่า “ลื้อฮอข่อซีเก้าหม้อ” (ลูกขอ…ได้ไหม) อะไรนะแม่ ซีเก้า สีเก้า(หมาตาย) คืออะไรหรือ หน้าแม่คืองง ว่าทำไมลูกไม่รู้ ก็ที่มีสายสีน้ำเงินๆ ไง ลื้อจะได้รับกับในหลวงเชียวนะ
อ๋ออออออ แม่หมายถึงลูกจะได้ C9 ไหม นึกว่าศัพท์จีนซะอีก 555 คุณแม่ดิฉันรู้จัก C 9 ด้วย ต้องขอสัมภาษณ์ แม่รู้ได้ไงอ่ะว่า คนได้ C9จะได้สายสะพาย แถมรู้สีอีก อาคุณลูกยังไม่รู้เลยว่าสีอะไร อาแม่บอก ถามเพื่อนๆ เอา เพื่อนบางคนเป็นคุณนายมีตำแหน่ง ก็ให้เขาอธิบายให้ฟัง โหๆๆ ดิฉันอึ้งไป แม่บอก เราทำงานต้องรู้ว่าเป้าหมายคืออะไร อย่าแค่ชอบสอน ชอบแปล ชอบเขียนหนังสือ ก็สอน ก็แปล ก็เขียนไปตลอด ต้องรู้ว่าเอาไปทำอะไรได้บ้าง แอบนึกว่า อาแม่น่าจะไปอยู่หน่วยให้คำปรึกษาวิชาการ หรือหน่วยส่งเสริมนะนี่
อาแม่ยังอธิบายให้ลูกฟังต่อว่า ลื้อรู้ไหม อากงสอบได้ที่หนึ่งของมณฑล ลื้อก็มีสายเลือดอากง ก็ทำได้ เพียงแต่ลื้อไม่ค่อยสนใจเรื่องเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง อาแม่ว่า ตำแหน่งไทย ก็คล้ายตำแหน่งจีนนะ ลื้อดูหนังจีนสิ ของจีนอ่ะ จอหงวนได้ ระดับ 1 และลดลงมาเรื่อยๆ ถึงระดับ 9 ของไทยก็กลับกัน ซึ 9 ซี 10 เป็นตำแหน่งสูง
สรุปว่า อาแม่อยากให้ลูกได้ใช่ไหม แม่ก็ตอบว่า ใช่ ลื้อซี 8 มาตั้งนานแล้ว ทำต่อไปเถอะ ได้แต่บอกแม่ว่า จะพยายามนะ แม่ยิ้ม ลื้อทำได้ ลื้อดื้อดี อาแม่รู้ ถ้าลื้ออยากทำอะไร ลื้อก็ทำไปจนเสร็จนั่นแหละ
แม้ระเบียบใหม่จะได้รับกับพระบรมฉายาลักษณ์ แต่ก็นับว่าเป็นเกียรติเป็นความภูมิใจที่ได้ทำให้อาแม่แล้วนะจ๊ะ วันนี้ลูกไปรับเครื่องราชฯ ชั้นประถมาภรณ์มงกุฎไทยนะอาแม่ อีกสักสามปี ก็น่าจะได้รับระดับสูงขึ้นไปอีก อาแม่คงดีใจ
ซี 10 นี้ขอแถม
วันนี้ได้บอกกล่าวอาแม่ว่า ลูกได้ทำตามสัญญากับอาแม่ว่าจะทำ C9 ให้ได้ แต่ดูแล้วยังมีงานตำราและงานแปลที่ยังไม่ได้ขอตำแหน่ง จึงได้ยื่นขอC 10 ไปเมื่อ ปี 2561 ทำเกินดีกว่าทำขาดนะ
คิดถึงว่าถ้ายังอยู่ อาแม่คงดีใจ และคงสอนให้เราติดดินอย่างรวดเร็วเหมือนทุกครั้ง
เวลาลูกสอบเอ็นทรานซ์ได้คณะในฝันของคนยุคนั้น อาแม่ไม่เคยให้รางวัลหรูๆ ทันที เรายังคงกลับบ้านกินข้าวต้มเหมือนเดิม รอเมื่อโอกาสอันเหมาะอาแม่จึงจะให้รางวัล รางวัลในรอบนั้น คือ เมื่อเราขึ้นปีสอง สอบได้ทุนไปฝรั่งเศสสองอาทิตย์ แต่ต้องออกค่าตั๋วเครื่องบินเอง อาแม่ก็บอกว่าไปเถอะ อาแม่ให้เงินติดกระเป๋ามาด้วยหลายหมื่นบาท ซึ่งเมื่อ 30 กว่าปีก่อนเป็นเงินจำนวนมิใช่น้อย
ต่อมา เมื่อได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทอง รับเหรียญรับปริญญาเสร็จ วันนั้นก็กลับไปกินข้าวต้มดังเดิม ตอนอายุน้อยๆ ก็แอบคิดเหมือนกันว่า แม่ขี้เหนียว ไม่เห็นจะให้รางวัลใหญ่ๆ เลย นี่ยากนะ กว่าจะทำได้ แต่ก็บังเอิญไปเรียนต่อสเปนอีก ลืมไปจนกระทั่ง นานต่อมา ได้รับเครื่องราชฯ ชั้น Isabel la Católica จากประเทศสเปน ก็ลองถามดู แม่ดีใจไหม แม่ก็ตอบ ดีใจสิ ที่จริงแววตาอาแม่บ่งบอกทุกสิ่ง แต่ความเป็น Wednesday child ก็อดไม่ได้จะถาม เท่าไหนล่ะ อ๋อ ก็เท่าเวลาอาแม่ซื้อเครื่องครัวใหม่ทั้งชุดไงล่ะ ความดีใจตัวลอยสะดุดกึก เบรคเอี๊ยดเลย เพราะงง ลูกงงค่ะ ไปนั่งคิดคืนหนึ่ง อ๋อ อาแม่หมายถึง การได้รางวัลใดๆ เราต้องทำตัวให้เป็นประโยชน์ และรักษาคุณภาพของเราให้คงทนถาวร คือ เครื่องครัวที่บ้าน แทบกราบได้ทุกชิ้น กว่าอาแม่จะถูกใจแล้วซื้อ จะต้องใช้ทนใช้นาน นานมาก อายุมากกว่าลูกอีกนะ
ดังนั้น รางวัลหรือเกียรติใดๆ ที่ได้ ก็ต้องรักษาความดีให้สมกับเครื่องครัวของอาแม่ ต้องไม่เหลิง ไม่ฟุ้งซ่านและเป็นประโยชน์สินะ
ขอปลื้มแบบเหลิงๆ สักครั้งนะ คุณนายแม่ ขอบคุณอาแม่ที่ส่งเสริมการเรียนของลูก การทำงานของลูก ขอบคุณโสมจีนต้มทุกแผ่น
ขอบคุณผู้ทรงคุณวุฒิทุกคนที่ช่วยอ่านงานวิชาการ และตรวจงานด้วยเมตตาจิต
ขอบคุณพี่น้องทุกคนที่มีน้ำใจช่วยเหลือ แม้กระทั่งวาดปก จัดหน้าให้อย่างด่วนๆ หรือนั่งเป็นกำลังใจลุ้นให้งานเสร็จ ฯ ขอบคุณทุกคนจริงๆ อาแม่สอนตลอด ดื่มน้ำแล้วต้องคิดถึงลำธาร
ต้นไม้ทิพย์
มนทิพย์ ซื่อวัฒนากุล 2016
ต้นไม้ทิพย์
แปลกไหม…….
เวลาเพียงสี่ปีใต้ร่มเงาของเทวาลัย จะให้ดอกออกผลกับเรา….ให้เราได้เก็บเกี่ยวกินใช้ได้ตลอดชีพ ราวกับลงมือปลูกต้นไม้ทิพย์ก็ไม่ปาน.. เพราะเมื่อมานั่งพินิจพิศสิ่งที่อยู่ชีวิตตัวเองในทุกวันนี้ ล้วนแล้วแต่มีที่มาจากการเป็นหนึ่งในต้นกล้า…ต้นเล็กๆที่งอกงามในชายคาเทวาลัยทั้งนั้น
เอาตั้งแต่ลืมตาตื่นมาเลยนะ เห็นหน้าคนร่วมเตียงเคียงหมอนที่นอนด้วยกันมายี่สิบปี ก็มาจากคณะข้างๆ เมื่อย้ายตัวเอง..มานั่งจิบกาแฟยามเช้าก่อนเริ่มวันใหม่…เห็นหนุ่มน้อยหน้าใส เดินไปเดินมาในบ้านแต่งชุดนิสิตเตรียมตัวไปเรียน… ไลน์แรกของเช้าวันใหม่ที่เปิดตั้งแต่ไม่ก้าวขาลงจากเตียงคือ ไลน์กลุ่มมีสมาชิกแปดคนเป็นเด็กอักษร รหัส 25 ….อันนี้ก็แปลก..เพราะเมื่อตอน อยู่ในคณะเพื่อนกลุ่มนี้ไม่เคยเสวนากันสักคำ จบมายี่สิบปีถึงได้มาพูดกัน พูดแล้วคงพูดกันต่อไปถึงชาติหน้าก็ดูแล้วยังไม่จบบทสนทนา
เพื่อนที่รักใคร่ผูกพันดูแลกันและกันยิ่งกว่าพี่น้องคลานตามกันมาที่มีอยู่ ก็เป็นเพื่อนอักษรอีกนั้นแหละ คบกะใครก็ไม่ลึกซึ้งได้เท่าคนพวกนี้ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ใครรู้ช่วยบอกที
แม้กระทั่งรอยแผลเล็กๆในหัวใจก็ยังได้มาจากแถวๆนี้
หน้าที่การงานที่ทำมาหาเลี้ยงชีพได้ดีงามในวันนี้ ก็ทำได้ด้วยดี จากวิธีคิดและการวิเคราะห์ที่ถูกบ่มเคี่ยวมาตลอดสี่ปีใต้ร่มเงาชงโค ในรั้วสีชมพู นี่ยังไม่นับว่า ระยะทางที่ยาวนานกว่าสามสิบที่มีมาในชีวิต ทั้งเรื่องครอบครัว ในการทำงาน การมองโลก ที่อยู่กับคนหลากหลาย การทำความเข้าใจตนเอง และคนที่ต้องอยู่ด้วย การที่ต้องหาที่ยืนให้ตัวเองอย่างมั่นคง ความผูกพัน รักใคร่ เอ็นดู ชื่มชม นับถือ ช่วยเหลือ ดูแล กันและกัน และความสัมพันธ์ประดามีที่มักจะเกิดขึนเสมอในชีวิต จากพี่จุฬาน้องจุฬา ซึ่งทำให้ชิวิตเราในแต่ละช่วงผ่านไปอย่างง่ายดาย และอื่นๆ มากมายจาระไนไม่ถ้วน เมื่อมาคิดให้ดีแล้ว มีรากฐานการบ่มเพาะแค่เพียงสี่ปีในคณะอักษร ที่หล่อหลอมให้เราเป็นคนอย่างที่เราเป็นและอย่างที่เราภาคภูมิ
จึงอยากจะสารภาพว่า….บางครั้งเคยอยากให้อดีตย้อนกลับไปได้
อยากจะกลับไปใช้เวลาสี่ปีนั้นใหม่…..จะได้กลับไปตั้งอกตั้งใจใช้เวลาทุกนาทีในคณะให้อย่างมีค่ากว่าที่เคยเป็นมา
จะนั่งแถวหน้า……….จะมาเข้าเรียนแปดโมงเช้า จะไม่คลานออกจากประตูหลังของห้อง116 ในชั่วโมงบ่ายๆ จะตั้งอกตั้งใจฟังเก็บความทุกถ้อยทุกคำ ที่อาจารย์พูด จะไม่คุยกันเองในห้องทำให้อาจารยเหลืออดจนออกไล่ปากให้ไปคุยกันในโรงอาหาร จะไม่นั่งหลับในห้อง ………………..จะไม่วิ่งสุดเท้าออกจากห้องเรียนเมื่ออาจารย์มาช้าเพียงแค่สิบนาที…จะนั่งฟังวิชาปรัชญา Soc ของอาจารย์ ปรีชา ช้างขวัญยืนแทนการไปเดินเตร่ดเตร่ที่สยามแสควร์ จะเข้าเรียนวิชาอารยธรรมของคณะ…..แทนที่จะไปนั่งเล่นกับเพื่อนที่ลานโพธิ์ ธรรมศาสตร์ .
และที่สุดคือ ….อยากจะกลับไปกราบครูบาจารย์ที่อดทนกับเด็กเหลวไหลคนนี้ คนที่ไม่ตั้งใจสมกับความตั้งใจของอาจารย์ที่ทุ่มเทให้เรา เด็กที่ไม่ได้ตระหนักถึงคุณค่าสิ่งที่มีอยู่ เด็กคนที่ไม่รู้ว่า เป็นสีปิแห่งความงดงามที่มีความหมายกับชีวิตเราได้มากมายมหาศาล….
หากทำสิ่งที่คร่ำครวญมาไม่ได้…จึงทำได้แค่ขอสารภาพมายังที่ตรงนี้
ด้วยความซาบซึ้งใจในคำที่ว่า
……พระคุณของแหล่งเรียนมา……….
…….จุฬาลงกรณ์………….
มนทิพย์ ซื่อวัฒนากุล
อบ. 50
ความคิดเห็นล่าสุด